Oo~About us~oO

รูปภาพของฉัน
เราพร้อมที่จะทำงานเพื่อฟื้นฟูอิสลามภายใต้พันธกิจที่ว่า"จงมุ่งมั่นสู่การปฏิรูปตนเอง และเรียกร้องเชิญชวนผู้อื่นสู่การยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ"

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ซุลฮิจญะฮฺ

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

«مَا مِنْ أَيَّامٍ الْعَمَلُ الصَّالِحُ فِيهِنَّ أَحَبُّ إِلَى اللهِ مِنْ هَذِهِ الْأَيَّامِ الْعَشْرِ، فَقَالُوا يَا رَسُولَ اللهِ وَلَا الْجِهَادُ فِي سَبِيلِ اللهِ؟، فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: وَلَا الْجِهَادُ فِي سَبِيلِ اللهِ، إِلَّا رَجُلٌ خَرَجَ بِنَفْسِهِ وَمَالِهِ فَلَمْ يَرْجِعْ مِنْ ذَلِكَ بِشَيْءٍ»

"ไม่มีการปฏิบัติอามัลซอลิหฺวันใดที่อัลลอฮฺทรงรักยิ่งกว่าการปฏิบัติในสิบวันแรกของเดือนซุลฮิจญะฮฺ" มีผู้ถามขึ้นมาว่า "โอ้ท่านร่อซูล! แม้กระทั่งการญิฮาดในหนทางของอัลลอฮฺกระนั้นหรือ?" ท่านร่อซูลตอบว่า "แน่นอน แม้กระทั่งการญิฮาดในหนทางของอัลลอฮฺก็ตาม ยกเว้นแต่ผู้ที่ออกญิฮาดด้วยชีวิตและทรัพย์สินของเขา จากนั้นก็มิอาจกลับมาพร้อมกับทรัพย์สินดังกล่าวนั้น" บันทึกโดย บุคอรี และติรมิซี

จากซุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

ثانياً في السنة النبوية : ورد ذكر الأيام العشر من ذي الحجة في بعض أحاديث الرسول صلى الله عليه وسلم التي منها : الحديث الأول : عن ابن عباس – رضي الله عنهما – أنه قال : يقول رسول الله صلى الله عليه وسلم : " ما من أيامٍ العمل الصالح فيها أحبُّ إلى الله من هذه الأيامِ ( يعني أيامَ العشر ) . قالوا : يا رسول الله ، ولا الجهادُ في سبيل الله ؟ قال : ولا الجهادُ في سبيل الله إلا رجلٌ خرج بنفسه وماله فلم يرجعْ من ذلك بشيء " ( أبو داود ، الحديث رقم 2438 ، ص 370 .

จากการบันทึกของอิมามบุคอรียฺและอบูดาวู้ด รายงานโดยท่านอิบนุอับบาสจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ไม่มีวันใดๆ การกระทำอันดีงามที่อัลลอฮฺทรงโปรดจะถูกกระทำในวันนั้นดีกว่าการกระทำสิ่งดีๆในบรรดาวันนี้(คือสิบวันแรกของซุลฮิจญะฮฺ)” ศ่อฮาบะฮฺได้กล่าวว่า “แม้กระทั่ง(ดีกว่า)การทำญิฮาดในหนทางของอัลลอฮฺกระนั้นหรือ” ท่านนบีตอบว่า “แม้กระทั่งการทำญิฮาด(หมายถึงจะไม่ดีกว่าการทำความดีในสิบวันแรกของซุลฮิจญะฮฺ) เว้นแต่ชายคนหนึ่งออก(จากบ้าน)ด้วยชีวิตและทรัพย์สิน(เพื่อทำญิฮาดในหนทางของอัลลอฮฺ) และไม่มีสิ่งใดจากนั้น(ชีวิตและทรัพย์สิน)ได้กลับมาเลย”

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังกล่าวอีกว่า "ไม่มีช่วงเวลาใดที่จะยิ่งใหญ่ หรือช่วงใดที่จะเป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮฺผู้สูงส่ง มากยิ่งไปกว่าช่วงสิบวันเหล่านี้ ดังนั้นท่านจงเพิ่มเติมด้วยการกล่าวตะฮฺลีล(ลา อิลาฮา อิลลัลลอฮฺ) การตักบีร(อัลลอฮุอักบัร) และกล่าวตะฮฺมีด(อัลฮัมดุลิลลาฮฺ)" มุสนัด อิมามอะฮฺมัด

เหล่านี้เป็นบางส่วนของหลักฐานที่ระบุถึงความประเสริฐของสิบวันแรกแห่งซุลฮิจญะฮฺ หากเราจะรำลึกย้อนกลับไปช่วงเวลาพิเศษแห่งรอมฎอน หลายคนเสียใจและเสียดายกับช่วงเวลาอันมีคุณค่ามหาศาลได้ผ่านไป โดยที่ตนเองมิได้กอบโกยคุณค่าเหล่านั้น และมิอาจจะคาดได้ว่าจะมีโอกาสสัมผัสกับรอมฎอนอีกครั้งหรือไม่ ขณะนี้มาถึงแล้วอีกช่วงเวลาอันประเสริฐสุด เราขอเรียกร้องเพื่อการกอบโกยโอกาสทองนี้ประกอบอิบาดะฮฺของเรา เช่น การซิกรุลลอฮฺ การละหมาด การถือศีลอด ตรวจสอบตนเอง ขออภัยโทษ สำนึกผิดเตาบัตตัว เศาะดะเกาะฮฺ (บริจาคทาน) รวมถึงการงานซอลิฮฺอื่นๆ ให้สมบูรณ์ ให้งดงาม และเพิ่มพูนมากกว่าช่วงเวลาอื่นๆ

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Ten Sicknesses of The Heart ---> 10ความอ่อนแอของจิตใจ

Ten Sicknesses of The Heart
1. You believe in the existence of Allah Ta'ala, but you do not fulfil his commands.
เราต่างเชื่อในการมีอยู่ของอัลลอฮฺตะอาลา หากแต่เราไม่ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์อย่างสมบูรณ์
2. You say you love the Holy Prophet Mohammed (Sallallahu 'alahi wasallam), but you do not follow his sunnah (ie, his example).
เราต่างกล่าวว่า “เรารักท่านนบีมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วัสลัม) หากแต่เราไม่ปฏิบัติตามซุนนะ (การดำเนินชีวิต) ของท่าน
3. You Read The Qur'an but you do not put it into practice.
เราต่างอ่านอัล กุรอาน หากแต่เราไม่นำสิ่งที่มีอยู่ในนั้นมาปฏิบัติ
4. You enjoy all the benefits from Allah Ta'ala, but you are not grateful to him.
เราต่างหลงใหลในสิ่งดีงามที่เราได้รับจากอัลลอฮฺตะอาลา หากแต่เราไม่ขอบคุณในความเมตตาของพระองค์
5. You acknowledge Shaytan as your enemy, but you do not go against him.
เราต่างรู้ดีว่าชัยฎอนคือศัตรูของเรา หากแต่เราไม่ต่อสู้กับมันอย่างแท้จริง (เรายอมให้มันควบคุมชีวิตเรา)
6. You want to enter paradise, but you do not work for it.
เราต่างต้องการที่จะเข้าสู่สวนสวรรค์ หากแต่เราไม่ทำอะไรเพื่อที่จะได้สัมผัสกับมันเลย
7. You do not want to be thrown into hell-fire, but you do not try to get away (ie, do good deeds).
เราต่างไม่ต้องการที่จะถูกโยนลงไปในไฟนรก หากแต่เราไม่พยายามที่จะหลีกห่างจากมัน (เช่น การปฏิบัติความดี)
8. You believe that every living-thing will face death, but you do not prepare for it.
เราต่างเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งจะต้องพบกับความตาย หากแต่เราไม่เตรียมพร้อมกับมัน (ความตาย)
9. You gossip and find faults in others, but you forgot your own faults and mistakes.
เราต่างนินทาว่าร้าย และจับจ้องหาความผิดของผู้อื่น หากแต่เราลืมที่จะมองดูความเลวร้าย และความผิดพลาดของตัวเอง
10. You bury the dead, but you do not take a lesson from it.
เราต่างเคยฝังศพผู้ตาย (มาก่อน) หากแต่เรามิเคยตระหนัก และเรียนรู้จากมัน (ความตาย)
Source: IslamWay

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เส้นทางที่อัลลอฮฺรัก...

ในโลกนี้ อาจจะถือได้ว่าสิ่งที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น คือ ความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักของพ่อแม่ ความรักระหว่างสามีภรรยา ความรักระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
แต่ความรักที่ทรงอานุภาพมากที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ความรักของอัลลอฮฺที่มีต่อบ่าวของพระองค์ เป็นความรักที่มนุษย์ทุกคนโหยหาและอยากได้ เพราะความรักของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
เป็นความรักที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าความรักใดๆ เป็นความรักที่จะทำให้มนุษย์ประสบแต่ความสุขในชีวิตและได้รับความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอยู่ตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงต้องพยายามหาทางที่จะทำให้อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลามอบความรักให้กับตน โดยต้องศึกษาให้รู้ว่าอะไรบ้างที่เป็นกุญแจสู่ความรักของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
อันที่จริง ในอัลกุรอานมีระบุถึงคุณลักษณะต่างๆที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลารักอย่างมากมาย เช่น แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ยำเกรง บรรดาผู้ชอบความสะอาด บรรดาผู้ทำความดี เป็นต้น
แต่เพื่ออธิบายอย่างง่ายๆ ให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ท่านร่อซูลุลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม จึงได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งมีความว่า “อัลลอฮฺได้ทรงมีดำรัสว่า ผู้ใดที่ทำร้ายวะลี (สหาย ผู้ใกล้ชิด คนรัก)
ฉัน แน่แท้ฉันว่าได้ประกาศต่อสู้กับเขา และไม่มีสิ่งใดที่บ่าวของฉันได้ทำเพื่อใกล้ชิดจะเป็นที่ชื่นชอบแก่ฉันมากไปกว่าสิ่งที่ฉันได้มอบหมายให้เขาทำ(หมายถึงศาสนกิจบังคับหรือฟัรฎู)
และบ่าวของฉันนั้นมีอุตสาหะในการเข้าใกล้(ภักดี)ฉันด้วยการปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ที่เป็นความสมัครใจ(ไม่ใช่ฟัรฎู) จนฉันรักเขา เมื่อใดที่ฉันรักเขาแล้ว ฉันจะเป็นหูของเขาที่เขาใช้ฟัง เป็นตาของเขาที่เขาใช้ดู
เป็นมือของเขาที่เขาใช้จับ และเป็นเท้าของเขาที่เขาใช้เดิน(เป็นการเปรียบเทียบซึ่งหมายถึงว่าอัลลอฮฺจะชี้นำเขาและดูแลอวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายเขาให้ประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีเท่านั้น)
ถ้าเขาขอจากฉันแน่แท้ฉันจะให้แก่เขา ถ้าเขาขอความคุ้มครองจากฉัน แน่แท้ฉันจะคุ้มครองเขา และไม่มีสิ่งใดที่ฉันทำอย่างลังเลเหมือนที่ฉันจะรับเอาชีวิตของผู้ศรัทธาที่ไม่ชื่นชอบความตายในขณะที่ฉันเองไม่อยากทำร้ายเขา” (รายงานโดย อัล-บุคอรียฺ)
ประเด็นที่สำคัญในหะดีษข้างต้นคือ กุญแจแห่งความรักของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาต่อมนุษย์ผู้หนึ่งนั้น อยู่ที่การปฏิบัติภารกิจต่างๆ ที่พระองค์ทรงใช้ให้ครบถ้วน และเสริมด้วยการปฏิบัติศาสนกิจและความดีอื่นๆ ที่เป็นสุนัต (คือทำโดยสมัครใจไม่ใช่ศาสนกิจบังคับ)
เมื่อสามารถรักษาการปฏิบัติศาสนกิจและอามัลฺได้ดังนี้ ก็จะเป็นที่รักของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาซึ่งพระองค์จะคอยช่วยดูแลและกำกับให้เขาพบแต่สิ่งที่ดีและปลอดพ้นจากความเลวร้ายต่างๆ ในชีวิต
ความรักของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลานั้นยิ่งใหญ่นัก เพราะเมื่อพระองค์รักผู้ใดพระองค์จะทรงทำให้สรรพสิ่งอื่นทั้งหมดรักคนผู้นั้นด้วยเช่นกัน เช่นที่ท่านร่อซูลุลลอ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้กล่าวไว้มีความว่า ”
“เมื่อใดที่อัลลอฮฺรักผู้หนึ่งผู้ใดแล้ว พระองค์จะตรัสกับญิบรีลว่า ฉันได้รักคนผู้นี้แล้ว ดังนั้นเจ้าจงรักเขาด้วย ญิบรีลก็จะรักเขาผู้นั้น แล้วญิบรีลก็จะป่าวประกาศแก่มลาอิกะฮฺทั้งหลายบนฟ้าว่า แท้จริงอัลลอฮฺได้รักคนผู้นี้ดังนั้นพวกเจ้าก็จงรักเขาด้วย มลาอิกะฮฺทั้งหมดก็จะรักเขา
แล้วอัลลอฮฺก็จะทรงกำหนดการตอบรับจากชาวโลกให้แก่เขา” ” (รายงานโดย อัล-บุคอรียฺ และมุสลิม)
มุสลิมจึงต้องเพียรพยายามเพื่อหาความรักของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอย่างจริงจังเพื่อจะได้รับความดีงามนี้

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2551

สตรีในอิสลาม.......อยากสวยทำอย่างไร?

1. ตกแต่งดวงตาน้อยๆของเธอด้วยการลดสายตาให้ต่ำลง

2. ทาริมฝีปากอันบอบบางของเธอด้วยลิปสติกยี่ห้อ الصدق (การพูดจริง)

3. ใช้เมคอัพ (make up) ยี่ห้อ الحياء. (ความอาย)..แปะลงบนแก้มทั้งสองของเธอ

4. ใช้สบู่ الاستغفار (การขออภัยโทษ) เพื่อขจัดสิ่งสกปรกชั่วร้ายออกจากร่างกายของเธอ

5. บำรุงหัวใจของเธอให้แข็งแรงด้วยสมุนไพร ตักวา التقوي (การยำเกรง)

6. ปกป้องผมสวยของเธอด้วยแชมพู ฮีญาบ حجاب เพื่อผมของเธอดูเงางามตลอดเวลา

7. สวมถุงมือแห่งความขยันเพื่อมืออันบอบบางของเธอ

8. แขวนสร้อยคอแห่งการให้อภัยลงบนคอของเธอ

9. ใส่เสื้อผ้ากระโปรงที่ตัดจากร้านอิสลามบูติค تصميم الاسلام

10.เพื่อให้ใบหน้าของเธอดูอ่อนวัยใช้ครีมยี่ห้อ الابتسامة (การยิ้ม) ทั้งนี้เพื่อให้เธอเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ ทั้งกายและจิตใจ พร้อมที่จะเป็นกระดูกสันหลัง ของครอบครัวต่อไป ก็ขอฝากถึงเหล่าผู้หญิงทุกคนว่ากรุณาอย่าช้าเพราะสินค้าเหล่านี้หาได้ยากในปัจจุบัน มีจำนวนไม่จำกัด ผลิตและจำหน่ายโดย
บริษัท อิสลาม (มหาชนจำกัด)........อิอิ

จาก http://sapa.darunsat.ac.th/modules/news/article.php?storyid=20

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2551

นิทานเรื่องผ้าขี้ริ้วสองผืน

นิทานเรื่อง ผ้าขี้ริ้วสองผืน
เรื่องมีอยู่ว่าที่บ้านจะมีผ้าขี้ริ้วหลายผืน แต่จะหยิบมาใช้ทีละ 2 ผืน (อย่างต่ำ)เพื่อว่า .. ผืนหนึ่งเอาไว้เช็ด

สิ่งที่ไม่ใช่น่ายิส เช่นน้ำเปล่า แกง หรือคราบอื่น ๆ อีกผืนหนึ่งเอาไว้เก็บกวาดความเรี่ยราดของแมวที่ส่วนมากเป็นน่ายิส ซึ่งผืนนี้บางครั้งเราก็พบว่ามันสกปรกไม่น่าหยิบจับกว่าผืนแรกแต่เมื่อคืนวันผ่านไป ...
...ใช้ไปใช้มาจะพบว่า ผ้าที่ขาว .. และสะอาดกว่าคือ ผ้าผืนที่สองเป็นเพราะว่า ผ้าผืนแรกที่ใช้งานไม่ค่อยสมบุกสมบันนัก จะผ่านการซักน้อยครั้งตรงข้ามกับผ้าที่เช็ดน่ายิส .. เมื่อนำไปใช้แล้วเราจำเป็นต้องซักมันทันที ซักบ่อยครั้งและซักด้วยความละเอียดด้วย...
...เพราะฉะนั้นเรื่องราวของผ้าขี้ริ้วนี้ไม่สอนอะไรนอกจากว่า เราไม่สามารถจะกล่าวได้เลยว่า
...คนที่เกิดมาแล้วมีชีวิตที่ดีตามแบบอิสลามนั้น ดีกว่า คนที่เกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้ให้ได้อิสลาม...
กล่าวไม่ได้เลยว่า
...คนที่เกิดมาท่ามกลางความดี จะดีกว่าคนที่เกิดมาท่ามกลางสังคมเลวร้าย...
สิ่งสำคัญคือการขัดเกลา การซักล้าง ซึ่งเกิดจากการรับรู้ถึงความสกปรกของหัวใจตนเองต่างหาก
ซึ่งคนที่คิดว่าหัวใจตนเองสะอาดดีแล้วนั่นล่ะจะประสบความเสียหาย...
...............คนที่ดีคือคนที่เตาบัตตนเองตลอดเวลา.................
คัดลอกจากเวบ http://islaminside.com/

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2551

คนละฟากถนน …รู้จัก - ไม่ต้องรู้ใจ , เข้าใจ - ไม่ต้องเข้าถึง

โดย อัล อัค

เมื่อพูดถึงความขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ผมขอเริ่มต้นด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า ... เรากำลังเน้นผ้าคลุมผมและผ้าคลุมหน้ามากไปหรือเปล่า? จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่บางครั้งการเรียกร้องของเรามันกลับไปเน้นการแต่งกายภายนอกกันมากเกินไป ใช่หรือไม่?

แน่นอนที่สุดว่า การแต่งกายที่สอดคล้องกับชะรีอะฮฺย่อมต้องสำคัญอย่างแน่นอน และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการแก้ปัญหาความสัมพันธ์ผิด ๆ ระหว่างชายหญิง แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมมิติในด้านอื่น ๆ ด้วย ยิ่งการแต่งกายที่มีข้อคิดเห็นที่แตกต่างกันอยู่อย่างเปิดปิดใบหน้า ย่อมไม่อาจนำมาวางความสำคัญไว้หน้าประเด็นที่ถูกกล่าวถึงในอัล-กุรอานไว้อย่างชัดเจน อย่างการควบคุมสายตาและน้ำเสียง ...

จากประสบการณ์ของผมที่คลุกคลีอยู่กับเด็กหนุ่มสาวมานาน ผมกล้าบอกได้ว่าประเด็นสัมพันธ์ต้องห้ามทั้งหลายนั้น มันมาจาก “การสื่อสาร” หมายถึงการติดต่อกันเกินความจำเป็น อาจเป็นการพูดคุยกันตรง ๆ หรือผ่านสื่อชนิดต่าง ๆ

ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ คนบางคนเน้นเรื่องปะปนมาก แต่อันตรายที่ผมเคยเห็นมามากก็คือ การพูดโทรศัพท์ ซึ่งหลายคนมองข้าม หลายคนชอบโทรศัพท์คุยกัน ถือว่าไม่เห็นหน้า ไม่เป็นไร โทรปรึกษาเรื่องอิสลาม เรื่องกิจกรรมกันทุกวัน คุยครั้งละนาน ๆ เป็นชั่วโมง ... บอกให้เลยว่า นี่แหละอันตรายมาก

เรื่องนี้ยังรวมไปถึงการโต้ตอบกันทางอินเตอร์เน็ต แม้จะเป็นแค่การพิมพ์ข้อความ ก็ควรเข้มงวดในเรื่องพวกนี้ เพราะการเห็นแค่ตัวอักษร สำหรับผู้ชายบางคน มันก็สร้างจินตนาการไปไกลแล้วละ ... (สำหรับผู้หญิงผมไม่ทราบ)

จากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา ... ผมค่อนข้างประหลาดใจต่อมุสลิมีนที่ทำเคร่งครัดในการแต่งตัวของผู้หญิง แต่ชอบให้คำปรึกษาแก่มุสลิมะฮฺ วัน ๆ รับโทรศัพท์มุสลิมะฮฺ และเช่นกันมุสลิมะฮฺที่ชอบโทรขอคำปรึกษาผู้ชาย หรือชอบให้คำปรึกษาหรือคำนะศีฮัตต่อผู้ชาย ก็น่าเป็นห่วงมาก ๆ เหมือนกัน ...

ครับ ... ผมได้ตั้งข้อสังเกตุพอสมควรต่อข้อเสนอของพี่น้องบางท่านที่กล่าวมาลอย ๆ ว่าไม่ให้ปะปนกัน ต่อกรณีการแก้ปัญหาสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างชายหญิง รวมทั้งปัญหาการทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างชายหญิงไปบ้างแล้ว ว่าจำเป็นต้องมีการใช้ตัวบทที่ชัดเจน มิเช่นนั้นจะเกิดการสงสัยกันเอง ...(ดู บทความเรื่องการปะปน)

ส่วนข้อเสนอของผมในการแก้ปัญหาเรื่องนี้(ดังที่หลายคนคงทราบดีแล้ว) คือ ผมได้เสนอแนวคิดที่ผมตั้งขึ้นมาเองว่า “ความสัมพันธ์คนละฟากถนน” ให้แก่การกิจกรรมระหว่างคนทำงานระหว่างชายหญิง …

องค์ประกอบที่สำคัญของแนวคิดนี้เป็นดังที่ผมกล่าวมาตอนต้นคือ หลีกเลี่ยง “การสื่อสาร” ระหว่างกันให้มากที่สุด ต่อให้เราพบเจอกันแบบไม่มีม่าน แต่เราแทบจะไม่ได้สื่อสาร ทั้งทางคำพูดและการใช้สายตา เท่ากับเราได้ตัด “ช่องทาง” ในการส่งฟิตนะฮฺ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้สื่อสารกัน ไม่ต้องให้สลามกันแล้ว ไม่ต้องสนใจในความทุกข์ยากลำบากกันแล้ว ... สื่อสารไม่ได้ห้ามครับ แต่ทำเท่าที่จำเป็นก็พอ

ผมคิดว่าการเข้มงวดในเรื่องนี้จัดว่าเป็นบุคลิกภาพของมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺที่ดีด้วย การสื่อสารกันให้น้อยที่สุด พูดคุยเท่าที่จำเป็น เป็นการให้เกียรติระหว่างเพศกันด้วย และถือว่ามีมารยาทอิสลามที่ดีงามเช่นกัน

ความสัมพันธ์คนละฟากถนน จึงเริ่มด้วยการตัดช่องทางการสื่อสารให้น้อยที่สุด ให้มุสลิมีนและมุสลิมะฮฺเหมือนอยู่กันคนละฟากถนน การจะบอกอะไรให้อีกฝ่ายทราบก็กระทำได้ แต่อาจต้องตะโกนข้ามถนน ไม่ต้องมาเดินด้วยกัน คือผมหมายความว่า ให้มีการสื่อสารอยู่ แต่กระทำยากสักนิดหนึ่ง

เพราะฉะนั้น ในการทำกิจกรรมร่วมกัน เราปรึกษาหารือกัน แต่ไม่ต้องมาจัดวงพูดคุยหันหน้าเข้าหากัน แล้วประชุมกันเป็นชั่วโมง ประสบการณ์ของผมถือว่าเป็นการประชุมที่แย่มาก ๆ เพราะพวกมุสลิมีนพากันโชว์วิชชั่น โชว์ความคริเอทีฟ ในที่ประชุม แทบจะหามติอะไรไม่ได้ ถ้าจำเป็นต้องประชุมร่วมกันจริง ๆ ก็ให้จัดที่นั่งแบบแถวละหมาดก็ได้ แล้วก็จำกัดวาระที่ชายหญิงต้องรับรู้และต้องปรึกษาร่วมกันจริง ๆ บางวาระไม่ต้องให้ผู้หญิงร่วมอยู่ด้วยก็ได้ หรือบางวาระให้ผู้หญิงไปคุยกันเองก็ได้ ... นี่มิใช่ความสุดโต่ง ทำให้เป็นธรรมชาติ

หลักการนี้ผมก็ประยุกต์มาจากฟัตวาของอุละมาอ์หลายท่าน คือพวกเราชอบโต้แย้งในเนื้อหาฟัตวาที่อาจมีความเห็นหลายอย่างได้ เช่น ความหมายเกี่ยวกับมะหฺร็อมในการเดินทางไกล? การมีม่านหรือไม่มีม่าน? แต่ผมเห็นว่า ฟัตวาต่าง ๆ ก็ได้เสนอสิ่งที่สอดคล้องกันและพวกเราก็ไม่ค่อยกล่าวถึง นั่นก็คือ การไม่ให้ชายหญิงติดต่อสื่อสารกันอย่างพร่ำเพื่อ …

แม้เราจะพบว่าในยุคแรกนั้น ผู้หญิงก็ไปมัสญิด เข้าไปช่วยผู้ชายในสนามรบ ร่วมพิธีฮัจญ์ ซึ่งล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่ดีงาม และชี้ให้เห็นว่าไม่มีการแบ่งแยกกันชัดเจนเด็ดขาด แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่า พวกเขาชายหญิงนั่งจับกลุ่มกันพูดคุยกันในแบบที่คนสมัยนี้จำนวนมากกระทำกัน ...

ความสัมพันธ์คนละฟากถนน จึงให้ความหมายว่า การไม่เปิดโอกาสให้หญิงชายพากันเฮไหนเฮนั่น นัดกันไปนั่งกินอาหารกันกลุ่มใหญ่ ถ้าจะไปด้วยกันก็ควรจะแยกโต๊ะ คือผมไม่ได้เรียกหาม่าน แต่เรียกหา “ฟากถนน” ให้อยู่กันคนละฟาก แต่ยังเห็นไกล ๆ ว่าเดินอยู่บนถนนเดียวกันอยู่ แม้จะอยู่กันคนละฟาก

แนวคิดคนละฟากถนน ก่อให้เกิดสองฟาก หรือสองวง แต่ทำงานร่วมกันได้ มีการติดต่อตามขอบเขตของชะรีอะฮฺ แต่ผมยังเสนออีกสิ่งหนึ่งเพื่อลดระดับความตึงเครียดระหว่างชายหญิง และลดแรงกระตุ้นในการนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เสียหาย นั่นก็คือ ต้องสร้างจุดโฟกัสที่ถูกต้องให้แก่แต่ละฟาก

หมายความว่า ให้ชายหญิงที่อยู่คนละฟากโฟกัสเนื้อหาการพูดคุยไปยังเรื่องที่มีประโยชน์ ให้เป็นเรื่องวิชาการ เป็นเรื่องเสริมสร้างประโยชน์ในงานดะอฺวะฮฺ และหลีกเลี่ยงหัวข้อความรักระหว่างชายหญิง เน้นหัวข้อความรักต่ออัลลอฮฺ ต่อเราะซูล และการทำงานเพื่ออิสลามแทน ให้ลดระดับการพูดคุยเรื่องสามีและภรรยาในอุดมคติ เพราะสิ่งเหล่านี้หากไม่ถึงเวลาของมันจริง ๆ พูดไปก็มีแต่ไปกระตุ้นความปรารถนาของความเป็นคนหนุ่มคนสาว

เรื่องที่ดีหลาย ๆ อย่าง แต่ไม่ได้เวลาของมัน และไม่ก่อให้เกิดผลทางบวก เราก็ต้องลด ๆ การพูดถึงมันให้น้อยลง ขณะที่บางคนมีอมานะฮฺเรื่องเรียน เรื่องดูแลพ่อแม่ ดูแลน้อง แต่ไปเอาเรื่องการหาคู่ครอง(ที่มันไม่ถึงเวลา)มาย้ำ แล้วเมื่อไม่มีความสามารถจะกระทำ มันจะยิ่งกว่ากลัดกลุ้มใจ เรื่องแบบนี้ท่านนบีฯ แนะนำให้ถือศีลอดต่างหาก ...

ผมเสนอแนวคิด “ความสัมพันธ์คนละฟากถนน” เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา ท่ามกลางปัญหาของตัวผมเองและของพี่น้องหลาย ๆ คนในเรื่องการทำกิจกรรมระหว่างชายหญิง ท่ามกลางคนที่เคร่งครัดมาก ๆ กับพวกที่แทบจะไม่สนใจหลักการในเรื่องนี้เลย และเมื่อย้ำให้หลายคนในทีมงานปฏิบัติตามแนวคิดนี้ มันได้ผลเกินความคาดหมาย ปัญหาเริ่มคลี่คลายและแทบจะไม่มีเรื่องหนักหนาใด ๆ เลย ที่สำคัญมันทำให้ชายหญิงที่ปฏิบัติในทิศทางนี้ยังคงร่วมงานกันได้อย่างเป็นธรรมชาติต่อไป

ครับ ... คำว่า “คนละฟากถนน” ยังหมายถึงมุสลิมีนและมุสลิมะฮฺมาร่วมเดินอยู่บนถนนเดียวกัน แต่ไม่ต้องมาเดินใกล้ ๆ กัน นั่นหมายความว่า เราทำงานด้วยกัน พอจะมองเห็นกันไกล ๆ ว่าใครเป็นใคร แต่ไม่ต้องมาให้เห็นหน้ากันชัด ๆ จนรู้ในเรื่องส่วนตัวไปหมด คือเราต้อง “รู้จักกัน” แต่ไม่ต้องถึงขั้น “รู้ใจกัน” คือเรา “เข้าใจกัน” แต่ไม่ต้อง “เข้าถึงกัน"

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2551

ใยเล่ามุสลิมะฮฺ???

ใยเล่ามุสลิมะฮฺ???

มุสลิมะฮฺ ใยเล่าเจ้า ในวันนี้
มิหวงแหน สิ่งที่มี ค่านักหนา
เรือนร่างเจ้า ไหนเล่า จะหน้าตา
อยากจะรู้ เจ้าศรัทธา ในสิ่งใด


><<>><<>><<>><

พระเจ้า เจ้าเกรงกลัว บ้างหรือไม่
อัลกุรอาน เจ้าได้ต้อง บ้างไหมหนอ
สิ่งบัญญัติ เทียบได้หรือ คำยกยอ
ขอเธอจง ไตร่ตรอง ลองคิดดู


><<>><<>><<>><

ประการแรก เจ้าเกิดมา เพื่อใครหรือ
ยามวอนขอ เขาคือใคร ผู้ช่วยเหลือ
มิใช่ อัลลอฮฺหรือ ผู้จุนเจือ
ไม่เชื่อ อัลลอฮฺหรือ ผู้สร้างเธอ


><<>><<>><<>><

มีคำตอบ บ้างไหม ในใจเจ้า
สิ่งขัดเกลา หัวใจ หายกระด้าง
มีหรือไม่ ในหัวใจ ยามเดินทาง
พระผู้สร้าง หนึ่งเดียว ที่แท้จริง


><<>><<>><<>><

มุสลิมะฮฺ คิดเถิดเจ้า ในวันนี้
หวงสิ่งดี มีค่า สักนิดไหม
ร่างกายเจ้า รูปหน้า และจิตใจ
มีเพื่อใคร ค้นคำตอบ เพื่อตัวเอง

หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก...

หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก......แบบไหนก็ได้
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....โดยไม่มีแบบแผน
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....สิ่งที่ถูกสร้างมากกว่าผู้สร้าง
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....ตัวเองมากกว่าท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....โลกชั่วคราวใบนี้มากกว่าโลกอาคิเราะห์ที่ยั่งยืนตลอดกาล
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....หนทางสู่นรกอันหอมหวานมากกว่าหนทางสู่สวรรค์อันขรุขระ

หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....การทำตามอารมณ์มากกว่าหลักการอิสลาม
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....เพศตรงข้ามเสมือนว่าเราต่างเกิดมาเพื่อกันและกันเท่านั้น
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....การสะสมเงินไว้ในกระเป๋ามากกว่าการสะสมเงินในบัญชีแห่งความดี
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....ผลประโยชน์ที่ได้มาจากการทุจริตมากกว่าความซื่อสัตย์
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....การเอาตัวรอดอย่างเดียว พี่น้องไม่ต้องสนใจ
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....การร่วมทางกับชัยฎอนเสมือนมันไม่ได้เป็นศัตรู
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่มีตำแหน่งใหญ่โตมากกว่ามุสลิมที่ยากจน
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....ผู้รู้ศาสนาที่เราเคารพอย่างหลับหูหลับตา โดยไม่มีการตักเตือน
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....การนิ่งเฉยกับความชั่วในสังคมมากกว่าการห้ามปรามมัน
หัวใจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรัก.....อื่นๆ อีกมากมายที่ไร้แก่นสาร
แต่...หัวใจถูกสร้างมาเพื่อรัก....ทุกสิ่งที่อัลลอฮฺทรงบัญญัติไว้
มารักทุกสิ่งตามที่อัลลอฮฺทรงสั่งใช้กันเถิดครับพี่น้อง....

วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2551

สิ่งท้าทายมุสลีมะฮฺในยุคโลกไร้พรมแดน...

มุสลีมะฮฺ มีสถานภาพที่สำคัญสำหรับประชาคมมุสลิม เพราะพวกเธอเป็นส่วนประกอบที่เป็นโครงสร้างสำคัญของสังคม อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยซึ่งก่อให้เกิดมรรคผลที่ยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติ เพราะพวกเธอเป็นโรงเรียนแห่งแรกในการหล่อหลอมบุตรธิดาให้เป็นชนรุ่นใหม่ที่มีคุณธรรมและความรู้ ดังนั้น สิ่งที่เด็กๆซึมซับและได้รับจากแม่นั้น เป็นพื้นฐานสำคัญในการกำหนดชะตากรรมและทิศทางของประเทศชาติในอนาคต
มุสลีมะฮฺจึงเป็นมนุษย์คนแรกที่มีความผูกพันอย่างใกล้ชิดและมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของเรา อัล-อิสลามอันสูงส่งมิได้ละเลยต่อเรื่องนี้ ในฐานะที่อิสลามเป็นครรลองชีวิตที่นำแสงสว่างและทางนำแก่มวลมนุษยชาติ อิสลามได้จัดระบบชีวิตที่ครอบคลุมทุกด้าน และมีกฎระเบียบที่สมบูรณ์และดีที่สุด อิสลามจึงไม่ปล่อยให้มนุษย์หลงอยู่ในความมืดอย่างเด็ดขาด อิสลามได้ให้คำชี้แนะแก่บรรดามุสลีมะฮฺ โดยไม่จำเป็นต้องมีสิ่งอื่นๆมาเสริมเติมแต่งอีกแล้ว
ความจริงการถกเถียงเกี่ยวกับ “ทัศนะหรือมุมมองของอิสลามที่มีต่อสิทธิสตรีและบุรุษ” ตามกระแสโลกในปัจจุบัน มิใช่หัวข้อที่พิเศษอะไรมากนัก เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นหัวข้อพื้นฐานทั่วๆไป และเป็นเรื่องที่มนุษย์เกือบทุกคนโดยเฉพาะมุสลิมรู้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าจะรู้และจำเป็นต้องรู้หรือถกเถียงกันมากกว่า ก็คือ เราต้องถามตัวเองว่า เราพร้อมที่จะน้อมรับ เชื่อฟังและปฏิบัติตามบทบัญญัติ(หุก่ม)อิสลามหรือไม่? มากน้อยเพียงใด?
จากสภาพความเป็นจริงที่เราประสบในปัจจุบัน ก็คือ ในสังคมทั่วโลก มนุษย์กำลังถูกกระแสแห่งการลอกเลียนแบบและคลั่งไคล้อย่างไม่ลืมหูลืมตา ต่อกระแสโลกาภิวัตน์จากตะวันตก ที่ไหลบ่าอย่างเชี่ยวกรากและรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชาติอิสลามบางกลุ่ม ยังหลอกตัวเองด้วยการใช้เล่ห์เพทุบาย พยายามประนีประนอม โอนอ่อนผ่อนตาม ไหลไปตามกระแสตะวันตกและปรับตัวเองให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่ชาวตะวันตกต้องการและกำหนดไว้ พวกเขาพยายามบีบบังคับชาวมุสลิมด้วยกันเองและบิดเบือนหลักการอิสลามอันบริสุทธิ์และเที่ยงแท้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดของตะวันตก โดยพยายามยัดเยียดวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอื่นๆที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับอิสลามแม้แต่น้อย ละเลยและลดความสำคัญในเรื่องจิตวิญญาณหรือเจตนารมณ์ของชารีอะฮฺอิสลาม ซึ่งแน่นอนมักจะขัดกับอารมณ์ กิเลสและตัณหาของมนุษย์

แหละนี่คือกระแสหลักของโลกในปัจจุบัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในยุคนี้ เราจึงต้องมองไปยังหลักการ(หุก่ม)อิสลามด้วยสายตาและจิตใจที่บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม ปราศจากอคติและไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึกเป็นเครื่องตัดสิน เราต้องพินิจพิจารณาตัวเองและเตรียมตัวเตรียมใจของเรา ให้พร้อมที่จะน้อมรับพระบัญชาของอัลลอฮฺนำไปปฏิบัติและละเว้นในสิ่งที่ทรงห้าม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ในสัญชาตญาณดั้งเดิม (ฟิตเราะฮฺ) ของมนุษย์อยู่แล้ว
นี่คือ สิ่งจำเป็นเบื้องต้นอันเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการดำเนินชีวิตของมุสลีมะฮฺในยุคปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถปกป้องตัวเองให้รอดพ้นและปลอดภัยจากไฟแห่งฟิตนะห์ที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก และจะเป็นกุญแจไขให้มุสลิมะฮฺก้าวเข้าสู่การเป็นมุอฺมีนะฮฺที่เพียบพร้อมและสมบูรณ์อย่างแท้จริง อันจะนำมาซึ่งชีวิตที่ผาสุกทั้งในโลกนี้และโลกอาคีเราะฮฺ
เขียนโดย : มุคลิส บิน ยูซุฟ

วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2551

เมื่อความตายขยับเข้ามาใกล้เรา

เมื่อความตายขยับเข้ามาใกล้เรา
โดย...ซิลาฮุลฮัก
เคยคิดมั้ยว่าเราเกิดมาทำไม
เคยคิดมั้ยว่าเราตายแล้วจะไปไหน
เคยคิดมั้ยว่าชีวิตหลังความตายของเราจะเป็นอย่างไร
ทุกวันเวลาที่ผ่านไปเรารู้สึกอย่างไรบ้าง
ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบกายเราให้บทเรียนอะไรกับเราบ้าง
ทุกเรื่องราวที่เราได้ยินได้เห็นและได้สัมผัสทำให้เราเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
ไม่เพียงพอหรือกับการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกที่จะให้เราต้องหันกลับมามองตนเอง
ไม่เพียงพอหรือกับข่าวการเสียชีวิตที่เราได้ยิน ด้วยการที่เราต้องหันกลับมามองตนเอง
ไม่เพียงพอหรือกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการที่เราต้องหันกลับมาคิดว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร
เวลาหมดไปอีกแล้ว
ข่าวการตายถูกแจ้งมาอีกแล้ว
จะอยู่อย่างนี้ต่อไปหรือ
เคยคิดมั้ยว่าต่อไปอาจจะถึงเวลาของเรา
เคยคิดมั้ยหากเรากลับไปหาอัลลอฮฺตอนนี้ เราจะเป็นอย่างไร
รู้จักมั้ยนรกของอัลลอฮฺ
รู้มั้ยใครจะอยู่ในนั้นบ้าง
รู้จักมั้ยสวรรค์ของอัลลอฮฺเป็นอย่างไร
และรู้มั้ยใครจะเข้าไปอยู่ในนั้นบ้าง
อะไรคือสิ่งที่เราคิดและปรารถนาจากการมีชีวิต
อะไรคือเป้าหมายที่เราต่างดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อให้ได้มา
ถึงเวลาหรือยังที่เราจะค้นหาตัวเอง
ถึงเวลาหรือยังที่เราจะบอกกับตัวเองว่า เราเกิดมาทำไม
ถึงเวลาหรือยังที่เราจะเปลี่ยนชีวิตใหม่
ชีวิตที่มุ่งสร้างอนาคตแห่งอาคิเราะฮฺ
ชีวิตที่ตระหนักเสมอว่า ดุนยาคือแหล่งทดสอบ
ทดสอบเพื่อรับรางวัลอันยิ่งใหญ่
เมื่อความตายกำลังเข้ามาใกล้แล้ว
อะไรคือความรู้สึกของท่าน
ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวหรือไม่
เปล่าเลย ความตายไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องกลัวเลย
เพราะความตายคือจุดสุดท้ายของการทดสอบ
ชีวิตหลังความตายต่างหากที่ท่านต้องตระหนัก
ชีวิตหลังความตายคือชีวิตตลอดกาลของพวกท่าน
ชีวิตหลังความตายคือผลจากเวลาอันแสนสั้นของดุนยา
ชีวิตหลังความตายคือการพิพากษาผลงานอันน้อยนิดบนดุนยา
แต่การตอบแทนนั้นล้ำค่า หากเราได้ศรัทธาและยืนหยัดต่อพระองค์
จงอดทนเถิด โอ้ผู้ศรัทธาและประกอบความดีงามทั้งหลาย
เวลาแห่งการตอบแทนสำหรับผู้อดทนใกล้เข้ามาแล้ว
เวลาแห่งความยากลำบากของผู้ที่ไม่อดทนก็ใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน
แล้วท่านก็จะได้รู้ว่าผลของการเชื่อฟังและความอดทนนั้นเป็นเช่นไร
และเขาก็จะได้รู้ว่าผลของการฝ่าฝืนและไม่อดทนนั้นเป็นเช่นไร
จงอย่าลืม เราถูกสร้างมาเพื่อ พระองค์จะดูว่าใครบ้างในหมู่พวกเราที่มีผลงานที่ดียิ่ง
ฉะนั้น ก่อนความตายจะมาถึง พึงสำรวจตนเองเถิดว่า เรามีการงานที่ดีที่เราจะนำกลับไปสู่พระองค์แล้วหรือยัง?
http://idrissittakullah2.spaces.live.com/

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

นสพ.เดนมาร์กตีพิมพ์ซ้ำภาพการ์ตูนนบีมูฮัมหมัด [Nation]

وَالَّذِينَ يُؤْذُونَ رَسُولَ اللَّهِ لَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ

…และบรรดาผู้ที่ก่อความเดือดร้อนแก่ร่อซูลของอัลลอฮฺนั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด
(อัตเตาบะฮฺ : 61)

นสพ.เดนมาร์กตีพิมพ์ซ้ำภาพการ์ตูนนบีมูฮัมหมัด (ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)
หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่หลายฉบับในเดนมาร์ค จับมือกันตีพิมพ์ภาพการ์ตูนล้อศาสดามูฮัมหมัด ซึ่งสวมผ้าโพกศีรษะลักษณะคล้ายลูกระเบิดที่มีประกายไฟติดอยู่ ในบทบรรณาธิการฉบับเมื่อวานนี้ เพื่อแสดงจุดยืนเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หลังจากที่เมื่อวันอังคารตำรวจได้จับกุมชาย 3 คนในข้อหาวางแผนสังหารคนวาดการ์ตูนล้อภาพนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นชาวเดนมาร์คเชื้อสายโมร็อคโคและได้รับการปล่อยตัวไปแล้วเพราะไม่มีหลักฐานเอาผิดมากพอ ส่วนอีกสองคนเป็นชาวตูนีเซียจะถูกเนรเทศเร็วๆนี้ เนื่องจากเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
การ์ตูนล้อเลียนที่ว่านี้เป็น 1 ใน 12 ภาพที่เคยเป็นชนวนเหตุให้เกิดการชุนนุมประท้วงต่อต้านอย่างรุนแรงในโลกมุสลิม หลังจากที่หนังสือพิมพ์ จิลแลนส์-โพสเต็น ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2548 จากนั้นก็มีอีกหลายฉบับในหลายประเทศนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ ส่งผลให้สถานทูตเดนมาร์คทั่วโลกถูกโจมตี สินค้าเดนมาร์คถูกคว่ำบาตรในประเทศมุสลิมหลายชาติ และมีผู้เสียชีวิตจากเหตุจลาจลที่เกิดขึ้นอย่างน้อย 50 คน
ล่าสุด กระทรวงต่างประเทศของเดนมาร์คได้สั่งการไปยังหน่วยงานทางการทูตทั่วโลกให้จับตาดูความเคลื่อนไหวและสัญญาณความไม่พอใจจากการตีพิมพ์ซ้ำภาพการ์ตูนล้อเลียนนี้ อย่างใกล้ชิด ขณะที่ กลุ่มมุสลิมในเดนมาร์ควิจารณ์ความเคลื่อนไหวนี้โดยว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลาและจะยิ่งเพิ่มความแตกแยกในสังคม
…และบรรดาผู้ที่ก่อความเดือดร้อนแก่ร่อซูลของอัลลอฮฺนั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด (อัตเตาบะฮฺ : 61)
นสพ.เดนมาร์กตีพิมพ์ซ้ำภาพการ์ตูนนบีมูฮัมหมัด (ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)
หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่หลายฉบับในเดนมาร์ค จับมือกันตีพิมพ์ภาพการ์ตูนล้อศาสดามูฮัมหมัด ซึ่งสวมผ้าโพกศีรษะลักษณะคล้ายลูกระเบิดที่มีประกายไฟติดอยู่ ในบทบรรณาธิการฉบับเมื่อวานนี้ เพื่อแสดงจุดยืนเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หลังจากที่เมื่อวันอังคารตำรวจได้จับกุมชาย 3 คนในข้อหาวางแผนสังหารคนวาดการ์ตูนล้อภาพนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นชาวเดนมาร์คเชื้อสายโมร็อคโคและได้รับการปล่อยตัวไปแล้วเพราะไม่มีหลักฐานเอาผิดมากพอ ส่วนอีกสองคนเป็นชาวตูนีเซียจะถูกเนรเทศเร็วๆนี้ เนื่องจากเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
การ์ตูนล้อเลียนที่ว่านี้เป็น 1 ใน 12 ภาพที่เคยเป็นชนวนเหตุให้เกิดการชุนนุมประท้วงต่อต้านอย่างรุนแรงในโลกมุสลิม หลังจากที่หนังสือพิมพ์ จิลแลนส์-โพสเต็น ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2548 จากนั้นก็มีอีกหลายฉบับในหลายประเทศนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ ส่งผลให้สถานทูตเดนมาร์คทั่วโลกถูกโจมตี สินค้าเดนมาร์คถูกคว่ำบาตรในประเทศมุสลิมหลายชาติ และมีผู้เสียชีวิตจากเหตุจลาจลที่เกิดขึ้นอย่างน้อย 50 คน
ล่าสุด กระทรวงต่างประเทศของเดนมาร์คได้สั่งการไปยังหน่วยงานทางการทูตทั่วโลกให้จับตาดูความเคลื่อนไหวและสัญญาณความไม่พอใจจากการตีพิมพ์ซ้ำภาพการ์ตูนล้อเลียนนี้ อย่างใกล้ชิด ขณะที่ กลุ่มมุสลิมในเดนมาร์ควิจารณ์ความเคลื่อนไหวนี้โดยว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลาและจะยิ่งเพิ่มความแตกแยกในสังคม
นสพ.เดนมาร์กตีพิมพ์ซ้ำภาพการ์ตูนนบีมูฮัมหมัด [Nation]

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

จดหมายในลิ้นชัก

จดหมายในลิ้นชัก เพื่อนรัก เธอเป็นวัยรุ่นมากี่ปีแล้วหรือ
เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า ช่วงวัยนี้ให้อะไรกับชีวิตเราบ้าง
ความสนุก? ความสะใจ? มิตรภาพ? ความรัก?
หรือมีคุณค่าอะไรที่ลึกซึ้งกว่านี้?
********************************
อุซามะฮฺ บิน เซด เป็นแม่ทัพฝู้นำทัพแห่งกองทัพมุสลิมเมื่อ อายุ18 ปี
มูฮัมหมัด อัลฟาติฮฺ พิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลตอนอายุ 21 ปี
และท่านหญิงอาอีชะฮฺ ท่องจำ ฮะดิษเป็นพันขณะยังอายุ 20ปี
*********************************
แล้วตอนนี้?
เด็กไทยเฉลี่ยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกตอนอายุ 15ปี
เด็กสาวอายุ 17 จับลูกทิ้งชักโครก
เด็กม.ปลายขายบริการเป็นอาชีพเสริม
***********************************
เธอจะเป็นวันรุ่นแบบไหน
แบมือของเธอออก แล้วมองดูกระแสเลือดที่ไหลรินอยู่ใต้เนื้อหนังสี
มันเป็นสีเลือดของเรี่ยวแรงกำลังวังชา ซึ่งมีค่าเกินกว่าจะใช้คุยแค่เรื่องแฟชั่น
และ ดาราเลิกกัน
ถามตัวเองเถอะว่า เธอควรใช้ร่างแห่งพละกำลังนี้ไปในทางใด
เพราะคำตอบของเธอคือ อนาคตของประชาชาตินี้!

คัดลอกจาก มิร-อาท โดย อัน-นะซีฮฺะ
***********************

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

สื่อมวลชนเดนมาร์คตีพิมสื่อการ์ตูนล้อเลียนนบี

มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ
และขอคารวะสดุดีต่อท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเป็นผู้นำสัจธรรมมายังประชาคมโลกทั้งมวลสืบเนื่องจากเหตุการณ์ลบหลู่ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ครั้งที่ 2 ณ ประเทศเดนมาร์กเมื่อเร็วๆนี้ กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติขอประณามพฤติกรรมของสื่อมวลชนแห่งประเทศเดนมาร์กที่ได้รวมตัวกันแสดงออกเป็นเอกฉันท์ ตลอดจนจุดยืนของคณะรัฐมนตรีแห่งประเทศเดนมาร์กที่แสดงการปกป้องต่อการลบหลู่ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยอ้างว่าเป็นเอกสิทธิ์ของสื่อมวลชนตามสิทธิที่ประชาธิปไตยเอื้อให้แก่ประชาชน อนึ่งจุดยืนดังกล่าวของประเทศเดนมาร์กได้ปรากฏเป็นครั้งที่ 2 แล้ว จึงฟ้องถึงนโยบายที่ต่ำช้าของคณะรัฐมนตรีต่อประชากรมุสลิมนับพันล้าน ซึ่งไม่คำนึงถึงเกียรติยศของผู้นำศาสนาระดับ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และไม่เห็นใจต่อความรู้สึกของชาวมุสลิมที่เคารพนับถือ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นอย่างยิ่ง และดูเหมือนประสบการณ์ครั้งแรกที่ประชาชาติอิสลามได้ประณามการลบหลู่ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิได้เป็นบทเรียนให้แก่ผู้ใหญ่ในประเทศเดนมาร์กแต่อย่างใด
กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติขอแสดงความเสียใจด้วย ที่ประเทศเดนมาร์กตกต่ำถึงขั้นที่ไม่มีปัญญาชนสักกลุ่มหนึ่งออกมาคัดค้านหรือต่อต้านพฤติกรรมอันต่ำช้าของบางส่วนในประชาชนชาวเดนมาร์ก และกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสันติภาพโลกที่มีคนไร้ปัญญาไร้ความรับผิดชอบกำลังมุ่งทำลาย หากสังคมโลกไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และไม่เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน สันติภาพโลกย่อมเสียหายอย่างยิ่ง ทางกลุ่มฯ จึงเรียกร้องให้พี่น้องมุสลิมแสดงจุดยืนประณามพฤติกรรมดังกล่าว และเรียกร้องให้ผู้มีส่วนรับผิดชอบได้รีบแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
จึงขอให้พี่น้องมุสลิมในประเทศไทยได้รณรงค์บอยคอตผลิตภัณฑ์ของประเทศเดนมาร์ก เพื่อเป็นแนวร่วมกับพี่น้องมุสลิมทั่วโลกที่เริ่มต่อต้านประเทศเดนมาร์ก การบอยคอตโดยสันติวิธีย่อมเป็นการแสดงที่ถูกกฎหมายและมีประสิทธิผลในสมัยนี้ ซึ่งเป็นคำตอบให้แก่เสรีภาพป่าเถื่อนที่ปล่อยให้คนไร้ปัญญาออกมาทำลายศีลธรรมของประชาคมโลกทั้งปวง
ริฎอ อะหมัด สมะดี
ประธานกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ18 ก.พ 51
ดาว์นโหลดเอกสารที่นี่ครับ
http://www.islaminthailand.net/documents/denmark2.doc

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

สาเหตุที่ทำให้ประชาชาติที่เคยยิ่งใหญ่กลับต้องตกต่ำลง...


สาเหตุที่ทำให้ประชาชาติที่เคยยิ่งใหญ่กลับต้องตกต่ำลง
(สรุปมาจากสิ่งที่ต้องการปลดอดีต)
๑.พ่อแม่
ลักษณะอาการ
๑.โต้เถียงพ่อแม่
๒.ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ดื้อ เงียบ ไม่โต้เถียงแต่ไม่ปฏิบัติตาม
ผลกระทบ
ด้านศาสนา ขาดบารอกัต
ด้านสังคม การศึกษา นิสัยก้าวร้าว ประเทศล่มจม
ด้านครอบครัว แตกแยก ขาดความสุข
การแก้ไข
ด้านสังคม การศึกษาศีลธรรม
ด้านครอบครัว เปิดใจ เชื่อฟัง ทำตามคำสั่ง
ด้านตัวเรา สำนึกตัว มุ่งมั่นในการปรับปรุง

๒.อัลกุรอาน
ลักษณะอาการ
ไม่สนใจการศึกษา อ่านไม่เป็น ไม่รู้ความหมาย เป็นเหมือนนกแก้วนกขุนทอง (รู้แต่ไม่ปฏิบัติ) ใช้ในทางที่ผิด หารายได้ ทำอาซีมัต
ผลกระทบ
ไร้ทางนำ ไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ช่วยแก้ปัญหา ผู้นำขาดคุณธรรม ประชาชาติตกต่ำ
การป้องกันและแก้ไข
กระตุ้นให้เห็นความสำคัญของกุรอาน กล่าวตักเตือน มุ่งมั่นในการเชิญชวน ขอดุอาอฺให้ได้รับทางนำ
สร้างบรรยากาศ
เลิกทำมะเซียต อยู่กับคนมุมิน ทำฮาลากอฮ

๓.การเรียนการศึกษา
ลักษณะอาการ
ขี้เกียจ ทุจริตในการสอบ ไม่ฟังครูสอน คุยกันในห้อง ไม่ตั้งใจเรียน โดดเรียน
ผลกระทบที่เกิดขึ้น
เกรดไม่ดี ไม่มีความรู้ ปัญหาด้านการเรียน มีปัญหาทางบ้าน เรียนไม่จบ
การแก้ไข
ให้ความสำคัญในการเรียน กระตือรือร้น เปลี่ยนความคิด คบกับเพื่อนที่ดี และซอและห์

๔.เพื่อน
ลักษณะอาการ
ตามเพื่อน ไม่กล้าห้ามในสิ่งที่ผิด คบกับเพื่อนที่ไม่ดี เที่ยวตามเพื่อน ทำสิ่งไร้สาระ เสพย์ยาเสพย์ติด ติดผู้หญิง
ผลกระทบ
ทำให้มุสลิมตกต่ำ สังคมดูถูก มีอคติ เสียอนาคต อีหม่านลดลง ไม่เชื่อฟังพ่อแม่
การแก้ไข
เลือกคบเพื่อนที่ดี กล้าปฏิเสธสิ่งไม่ดี เอาอดีตมาเป็นบทเรียน ศึกษาอิสลามให้ลึกซึ้งและนำไปปฏิบัติ ฟังการบรรยาย ศึกษากุรอาน หะดีษ สร้างอุดมการณ์

๕.เพลง TV ละคร เรื่องไร้สาระ
ลักษณะอาการ
ติด TV ติดใจในเนื้อหา อยากเป็นศิลปินดารา อยากมีแฟน อารมณ์คล้อยตาม
ผลกระทบ
ทำให้เสียเวลา เสียการเรียน หงุดหงิดเมื่อไม่ได้ติดตาม ไม่รักษาอามานะห์จากพ่อแม่ ละเลยคำสั่งของศาสนา อีหม่านอ่อน ทำให้ห่างไกลจากอัลกุรอาน
การแก้ไขและป้องกัน
อย่าติดตาม เมื่อสำนึกแล้วให้เตาบัต ปิด TV ละหมาดสุนัต ขอคำปรึกษาจากผู้รู้
ผลกระทบ
ทำให้เสียเวลา เสียการเรียน หงุดหงิดเมื่อไม่ได้ติดตาม ไม่รักษาอามานะห์จากพ่อแม่ ละเลยคำสั่งของศาสนา อีหม่านอ่อน ทำให้ห่างไกลจากอัลกุรอาน

๖.การละหมาด
ลักษณะอาการ
ละหมาดสาย โกหกพ่อแม่วาละหมาดแล้ว ขี้เกียจละหมาด คิดถึงแฟน ไม่เข้าใจหลักการ ละหมาดท้ายเวลา ไม่รู้ความหมายอายัตอัลกุรอาน
ผลกระทบ
ทำให้เราห่างจากอัลลอฮ ทำให้อีหม่านต่ำลง ละหมาดจะไม่คูชุอฺ การละหมาดจะไม่สมบูรณ์ มะซียัตจะตามมา
การป้องกันและการแก้ไขปัญหา
ป้องกัน หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อที่มีสกรีนด้านหลัง ต้องรักษาเวลาละหมาด อย่าคิดมีแฟน ควบคุมจิตใจให้สงบ
การแก้ไข หมั่นทำความเข้าใจวิธีการละหมาดให้มากขึ้น และพร้อมปฏิบัติ ขอให้อดทนต่อการที่จะปฏิบัติการละหมาดให้สมบูรณ์



๗.ฟุตบอลและเกมส์
ลักษณะอาการ
๑.ด้านสุขภาพ พักผ่อนน้อย กินไม่เป็นเวลา
๒.ด้านศาสนา ละเลยการทำอิบาดะฮฺ
๓.ด้านความคิด หมกหมุ่นกับบอลและเกมส์
๔.ด้านพฤติกรรม การใช้เงินฟุ่มเฟือย ใช้เวลาฟุ่มเฟือย
๕.ด้านจิตใจ เฉื่อยชา ไร้จิตสำนึก
ผลกระทบ
๑.ด้านสุขภาพ ร่างกายอ่อนแอ เจริญอาหารช้า สมองทำงานหนัก ใจรุ่มเร้า
๒.ด้านสังคม มีปัญหาสังคม พัฒนาช้า
๓.ด้านศาสนา อีหม่านอ่อน ละเลยฟัรฎู
๔.ด้านบุคลิก ก้าวร้าว ใช้ความรุนแรง
๕.ด้านครอบครัว มีปัญหาการดำเนินชีวิตในครอบครัว
การแก้ไขและป้องกัน
๑.ด้านครอบครัว ต้องมีการตักเตือนทุกรูปแบบ
๒.ด้านสถานศึกษา ต้องช่วยกันดูแลเด็ก
๓.ด้านสังคม ปลีกตัวออกจากสังคมที่ถูกกลืนด้วยเกมส์และฟุตบอล
๔.ด้านศาสนา สร้างความตักวาให้เกิดขึ้นในจิตใจ

๘.ผู้หญิง
ลักษณะอาการ
- หงุดหงิดเมื่อไม่ได้เจอหน้าเธอ
- อยากจะอยู่ใกล้เธอตลอดเวลา
- เกิดอารมณ์ทางเพศเมื่ออยู่ใกล้เธอ
- รู้สึกใจหวั่นไหวเมื่อเวลาพบเธอ
- คิดถึงเธอตลอดเวลา
ผลกระทบ
- เสียเงิน
- เสียเวลา
- ทิ้งการประกอบศาสนกิจ
- ไกลจากเพื่อน
- เป็นการทำลายศักดิ์ศรี เกียรติยศของผู้หญิง
- มีโอกาสเกิดการซีนาได้

วิธีการแก้ไขและป้องกัน
- พยายามลดสายตาลงต่ำ
- ถือศีลอดเพื่อลดความต้องการลง
- พยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอกัน
- หักห้ามใจตนเองไม่ให้ติดต่อกับเธอ ไม่ว่าจะด้วยโทรศัพท์ การchat กันผ่านอินเตอร์เน็ต
- จดหมาย หรือบุคคลอื่นที่ศาสนาไม่อนุมัติ

คัดลอกมาจากกิจกรรมค่าย"เราคือเยาวชนแห่งสัจธรรม" รุ่นที่2

ฮิญาบคือ???



เรามักได้ยินใคร ๆ เรียกฮิญาบเป็นภาษาไทยง่าย ๆ ว่า ‘ผ้าคลุมหัว’ หรือ ‘ผ้าคลุมผม’ ซึ่งไม่อาจสื่อถึงความหมายทั้งหมดของคำว่าฮิญาบได้ มีผู้หญิงตั้งมากมายที่คลุมผ้าคลุมผม แต่ไม่ได้คลุมฮิญาบ เพราะผ้าของพวกเธอทำหน้าที่แค่ปิดคลุมเส้นผม (ซึ่งบ้างก็มิดชิด บ้างก็ไม่) ในขณะที่ฮิญาบเป็นมากกว่านั้น!
ฮิญาบ หมายถึง “การปกปิด” ซึ่งไม่ได้หมายถึงเครื่องแต่งกายที่ทำหน้าที่ปิดคลุมเฉพาะภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกริยามารยาท การวางตัว ความละอาย และการสำรวมจิตใจที่อยู่ภายในด้วย
ฮิญาบเป็นเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้มุสลิมะฮฺรำลึกถึงอัลลอฮฺในทุกการกระทำ เธอจะระมัดระวังและสำรวมปฏิบัติทุกสิ่งให้อยู่ในหลักการมากขึ้น เพราะความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ และด้วยตระหนักว่าเธอคือตัวแทนของอัลลอฮฺบนโลกนี้ ทุกภาพลักษณ์ที่สะท้อนพฤติกรรมของเธอคือภาพรวมของอิสลาม
ดังนั้น ผู้ที่คลุมฮิญาบจึงไม่ใช่แค่ยอมรับผ้าผืนหนึ่งมาคลุมเรือนร่าง หากแต่ยอมรับหลักการทั้งหมดที่มากับผ้าผืนนี้มาคลุมใจด้วย นั่นคือหลักการแห่งอิสลามซึ่งครอบคลุมทุกรายละเอียดของชีวิต

คำดำรัสของอัลลอฮฺในคัมภีร์อัลกุรอานที่ทรงบัญญัติเรื่องฮิญาบ มี 2 โองการ คือ บทอัลอะหฺซาบ โองการที่ 59 และบทอันนูร โองการที่ 31
“โอ้นบี (มุฮัมมัด) เอ๋ย! จงกล่าว แก่ภรรยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง(1) นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน(2) และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ”
[อัลกุรอาน บทที่ 33 (อัลอะหฺซาบ) โองการที่ 59]

“และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมินะฮฺ (ผู้ศรัทธาหญิง) ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ (3) และให้พวกเธอรักษาทวาร (อวัยวะเพศ) ของพวกเธอ (4) และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ (5) เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ (6) และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของพวกเธอลงมาจนถึงหน้าอกของเธอ (7) และอย่าให้พวกเธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ (8) เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ (9) หรือบิดาของพวกเธอ (10) หรือบิดาของสามีของพวกเธอ (11) หรือลูกชายของพวกเธอ (12) หรือลูกชายของสามีของพวกเธอ (13) หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ (14)หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอ (15) หรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ (16)หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ (17) หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) (18) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ (19) หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง (20) และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ (21) เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺเถิด โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ”
[อัลกุรอาน บทที่ 24 (อันนูร) โองการที่ 31]

สตรีผู้เลอค่า ในสายตาบุรษ...

อิสลาม หมายถึง ความสันติอันเกิดจากการนอบน้อมยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ (พระผู้เป็นเจ้า) โดยสิ้นเชิง ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม (มุสลิม) จึงหมายถึงผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและสิ่งที่พระองค์ทรงใช้ให้ศรัทธา พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งที่พระองค์ทรงใช้และหลีกห่างจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม

การปฏิบัติตนตามหลักการอิสลามของมุสลิมนั้น เริ่มต้นจากความศรัทธาซึ่งเป็นแก่นสำคัญภายในจิตใจ น้อมนำสู่การเชื่อฟังและปฏิบัติตาม มิใช่หลับหูหลับตาปฏิบัติอย่างงมงาย หากแต่เมื่อปฏิบัติแล้ว มุสลิมผู้นั้นสามารถสัมผัสได้ถึงความสงบสุขและความสมบูรณ์ของแนวทางที่เลือก เขาจึงยึดมั่นปฏิบัติต่อไป ขณะเดียวกัน มันก็เสริมให้ความศรัทธาของเขาเข้มแข็งและพร้อมที่จะดำเนินชีวิตตามระบอบอิสลามได้โดยง่าย

มุสลิมะฮฺ (สตรีผู้ศรัทธา) ก็เช่นกัน เมื่อเธอได้เลือกยึดอิสลามเป็นระบอบการดำเนินชีวิต ย่อมหมายความว่าเธอเลือกที่จะเดินอยู่ในแนวทางนี้ ซึ่งมีกรอบการปฏิบัติวางไว้อย่างจำกัด เธอมิได้มองว่าถูกลิดรอนสิทธิให้ต่ำต้อยกว่าเพศชาย หากแต่ยอมรับในความแตกต่างทางสรีระและอารมณ์ จึงเป็นการเหมาะสมแล้วที่อัลลอฮฺทรงกำหนดบทบาทและสิทธิให้ชายหญิงแตกต่างกัน

มุสลิมะฮฺรู้สึกยินดีอย่างยิ่งหากจะมีชายผู้ปกครองอยู่เคียงข้างเมื่อต้องเดินทาง เพื่อรักษาเกียรติ อำนวยความสะดวก และดูแลความปลอดภัยของเธอ เหล่าสตรีไม่ชอบหรือที่จะมีบอดี้การ์ดซึ่งเป็นคนรู้ใจอยู่คู่กาย? เหตุใดพวกเธอจึงชอบให้ชายแปลกหน้ามาอยู่เคียงเพื่อลดเกียรติและความบริสุทธิ์ที่พึงมี

มุสลิมะฮฺพร้อมที่จะปกปิดเรือนร่างด้วยหิญาบ เพราะเป็นสิ่งที่เธอน้อมรับและเห็นความสำคัญ ไม่ว่าจะสวมผ้าคลุมหน้า (นิกอบ) หรือไม่ ก็ย่อมปลอดภัยและมีเกียรติกว่าเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่บ่งชี้ปริมาณความละอาย (สมบัติล้ำค่าของเธอ) ที่เหลืออยู่น้อยนัก

ถึงแม้ว่ามุสลิมะฮฺจะไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้นำสังคมซึ่งประกอบด้วยบุรุษซึ่งมีความสามารถ ความเข้มแข็ง และการตัดสินใจที่เด็ดขาด แต่เธอได้รับอนุญาตเต็มที่ให้เป็นผู้นำกลุ่มมุสลิมะฮฺเพื่อทำงานสร้างสรรค์สังคม และเธอยังมีหน้าที่สำคัญกว่าในการสร้างครอบครัวที่มั่นคงอันเป็นรากฐานของสังคมและประเทศชาติที่เข้มแข็ง ตรงนี้เป็นหน้าที่หลักของเธอ หน้าที่ของความเป็น "แม่" ที่ผู้ชายหน้าไหนก็มาแย่งไปจากเธอไม่ได้ แต่ผู้หญิงจำนวนมากกลับเลือกที่จะผละจากหน้าที่นี้แล้วไปเรียกร้องสิทธิต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม ผลักหน้าที่นี้ให้กับพี่เลี้ยงหรือครู ซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะรักและให้กับลูกได้เหมือนอย่างหัวอกคนเป็นแม่หรือเปล่า

กรณีข่าวสตรีที่ถูกข่มขืนโดนลงโทษในประเทศซาอุดิอาระเบียนั้น ก่อนที่จะถูกข่มขืน สตรีผู้นั้นกำลังอยู่กับชายที่ไม่ใช่ผู้ปกครอง-มะหฺรอม (มะ-รอม) ของเธอ ดังนั้นจึงมีความผิด การที่สื่อนำเสนอข่าวแง่เดียวในเชิงว่า เธอถูกข่มขืนแล้วยังต้องถูกลงโทษอีกนั้นถูกต้องแล้วหรือ? สังคมต่างร่วมประณามและโจมตีการตัดสินลงโทษดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องเหลียวมองความผิดของเธอเลยหรือ ? แน่นอนว่าผู้ที่ข่มขืนย่อมมีความผิดและได้รับโทษ แต่แล้วเหตุใดสตรีผู้นั้นจึงได้รับการปกป้อง ทั้งที่เธอก็ทำความผิดด้วย

มุสลิมได้ปฏิบัติตามหลักการอิสลาม มองเห็นความสมบูรณ์และเหมาะสม จึงพร้อมและเต็มใจที่จะดำเนินชีวิตในแนวทางนี้ ไม่ว่าสังคมจะมองหลักการอิสลามอย่างไร ตราบใดที่มนุษย์ไม่ได้ลองนำอิสลามมาใช้ ก็ได้แค่อาศัยการวิเคราะห์จากสติปัญญาของตนซึ่งมีขอบเขตจำกัด เมื่อรวมกับอคติส่วนตัวแล้ว ก็ยิ่งบีบให้มุมมองที่มีอยู่แคบลงไปอีก เหตุใดมนุษย์จึงไม่ลองเปิดใจให้กว้าง มองอะไรอย่างเป็นธรรม เผื่อว่าบางที อัลลอฮฺจะทรงเปิดใจให้ได้รับทางนำที่แท้จริง!

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2551

เมื่อวันหนึ่ง...

เมื่อวันหนึ่ง
วันแห่งการฟื้นคืนชีพมาถึง...เราคงรู้สึกอยากแก้ไขอะไรหลายๆอย่างในชีวิตที่ผ่านมา
เรื่องราวในอดีตที่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สนุกสนาน...แต่มันกลับขมขื่นยิ่ง ณ วันนั้น
วันที่เราเดินควงแขนกับต่างเพศทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน...วันนั้นเราความสุขเหลือล้น ใจสองเราอยู่ใกล้ชิดกัน
วันที่เราละเลยไม่ใส่ใจกับเวลาของการละหมาด...จนเวลาล่วงเลยผ่านมา เราก็ยังทำเป็นเฉยชา
วันที่หูของเราเคล้าแต่เสียงเพลง...มากกว่าที่มันจะฟังกุรอาน
วันที่ปากของเรากัดกินเนื้อพี่น้องที่ตายไปแล้ว...มากกว่าที่จะเปล่งคำพูดเพื่อตักเตือนกัน
วันที่นิ้วของเราถูกใช้เพื่อกดเบอร์โทรศัพท์หาใครบางคน...มากกว่าที่มันจะขยับลูกตัสเบี๊ยะ
วันที่สองเท้าของเราย่ำเข้าไปในโรงหนังทุกอาทิตย์...มากกว่าที่มันจะถูกย่ำไปมัสยิดตลอดเวลา
วันที่สองมือของเราถูกขยับเพื่อใช้แช้ทกับเพื่อนข้ามคืนอย่างไร้สาระ...มากกว่าจะถูกหยิบจับเพื่อการบริจาค
วันที่น้ำตาของเราถูกหลั่งเพื่อดูบทพระเอกพร่ำกับนางเอกก่อนตาย...มากกว่าที่มันจะถูกหลั่งกับการเกรงกลัว
อัลเลาะฮ์ และยำเกรงต่อพระองค์
* * * * * *
วันนี้ของเรา...ยังไม่ถึงวันนั้น
วันที่ท่านจะไม่พูดอะไรนอกจากเท้าและมือของท่านจะเป็นผู้ตอบ
ท่านยังมีเวลาที่จะกลับตัว เตาบัต
แก้ไขในวันข้างหน้าให้อยุ่บนเส้นทางที่เที่ยงธรรม
อย่า...หลอกตัวเองว่า อีกนานความตายจะมาถึง
อย่า...หลับตา โดยที่ยังไม่คิดว่าพรุ่งนี้ท่านอาจจะไม่ตื่น
อย่า...ทำเป็นรู้ดีว่าตอนนี้ท่านทำความดีมามากพอแล้ว
อย่า...เดินผ่านกุโบร์ โดยที่ท่านไม่เหลียวมองมันเลยว่า วันหนึ่งท่านต้องอยู่ในนั่น
วันแห่งการฟื้นคืนชีพใกล้มาถึงแล้ว
โลกกลมๆเบี้ยวๆใบนี้ แก่มากแล้ว เหนื่อยมากแล้ว
อีกไม่นานก็ต้องดับสูญ... แต่มนุษย์ยังต้องตื่นอีกครา
เพื่อจะถูกเรียกมาสอบสวนและให้ผลตอบแทนกับสิ่งที่ตนกระทำไว้ในดุนยา
เป็นวันซึ่งไม่มีใครช่วยใครได้เลย...
“ จงเกรงกลัววันหนึ่ง ซึ่งวันนั้นไม่มีใครสามารถที่จะช่วยใครได้แต่อย่างใดและการไถ่โทษแทนจากใครก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ การขอไถ่แทนก็จะไม่เป็นประโยชน์กับใคร และ ผู้ที่ทำผิดทั้งหลายก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ ”
อัลบากอเราะฮฺ : 123

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551

โอ้...ชนแห่งปัจจัยที่สมบูรณ์เอ๋ย


ช่วยบอกทีว่าทำไม ?
****ควรบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการ เพราะ “อาหาร” มีผลต่อการพัฒนาการทางด้านร่างกาย,สติปัญญา และจิตใจของมนุษย์ -**
แต่เชื่อไหม !?
...บ่อยครั้งที่ “ ชนแห่งยุคชัยชนะ” ในสมัยท่านรอซูล ได้รับประทานเพียงขนม ปังก้อนแข็ง เนื้อหยาบเพียงน้อยนิด
...บ่อยครั้งที่ “ชนแห่งยุคชัยชนะ”ในสมัยท่านรอซูล ต้องเลือกตัดสินใจถือศีลอดในยามเช้าของวัน เพราะตื่นขึ้นมาพบเจอแต่ความว่างเปล่าของ ปัจจัยในห้องครัว...ไม่มีอาหารเหลือเก็บไว้ให้รับประทานแม้แต่น้อย
...บ่อยครั้ง...บ่อยครั้ง และ บ่อยครั้ง กับอาหารเพียงน้อยนิด...จนบางทีต้องคอยเอาก้อนหินถ่วงไว้กับช่วงท้อง...เพื่อให้รู้สึกว่าท้องได้หนักขึ้นมาบ้าง...เพื่อให้ยังชีพอยู่ได้ในเวลานั้น.!
ฉะนั้น...ช่างริบหรี่เหลือเกิน....สำหรับ “ชนแห่งยุคชัยชนะ” กับอาหารตามหลักโภชนาการที่สมบูรณ์พรั่งพร้อมในแต่ละวัน!!!
แต่ทำไม!? ...ร่างกายของพวกเขาจึงมีเรี่ยวแรง...เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง...สามารถต่อสู้กับศัตรูของอัลลอฮฺได้จนชนะครั้งแล้วครั้งเล่า!
...สติปัญญาของพวกเขา...จึงเฉียบแหลม รู้จักคิดใคร่ครวญ และหาวิธีการเผยแผ่ศาสนาของอัลลอฮฺจนแพร่สะพัดไปทั่วทุกมุมโลก!
...จิตใจของพวกเขาจึงมั่นคงดั่งภูผา...มีความตักวาเป็นเลิศ!
...จิตวิญญาณของพวกเขาสงบ...เปี่ยมสุข...มีความบรรเจิดเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า!
อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮุอักบัร!!!
แล้ว “ชนแห่งยุคของเราล่ะ” !?
“ศรัทธาชน” !!!

...ทั้งที่บริโภคอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการ จนอิ่มหนำ.!
...ทั้งที่การเป็นอยู่...ห้องหับ...ที่หลับที่นอน...มีพรั่งพร้อมให้พักผ่อนจนหายเหนื่อย...จนเหนื่อยจะนอน.
...ทั้งที่.!..ทั้งที่.!..ทั้งที่.!.. ทุกอย่างสมบูรณ์พร้อม...สนองความสุขสบายทั้งกายและใจ !
แต่ทำไม!?
ร่างกายของเราถึงช่างอ่อนแอ...ไร้พลัง...ไร้เรี่ยวแรงในการที่จะ ต่อสู้...ในการที่จะทำงานเพื่ออิสลาม!
แต่ทำไม!? สติปัญญาของเราถึงได้โฉดเขลา...คิดไม่ออกว่าแต่ละวัน แต่ละเวลา เราต้องทำอะไรบ้าง.!?.ทำเพื่อผู้ใด.!?..และผู้ใดที่เราต้องถวาย ชีวิตให้ !?
แต่ทำไม !? จิตใจของเราถึงไขว้เขว...ไม่ผ่องแผ้ว...ไม่มั่นคง จนบ่อยครั้งที่ ต้องยอมจำนนแก่นัฟซูและชัยฏอน.
และ ทำไม !? จิตวิญญาณเราถึงป่วยไข้ - ได้ขนาดนี้ !!!???
ตอบหน่อยได้ไหม !? “ ชนแห่งยุคปัจจัยสมบูรณ์ ”
ตอบหน่อยได้ไหม...ว่าทำไม !?

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2551

ความตายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกำหนดได้

ขณะที่เล่นฟุตบอลร่างกายยังแข็งแรง แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่ออัลลอฮฺ ทำให้เขาตายในขณะที่เขาแข็งแรงอยู่

...ไฉนเล่า เรายังมั่วอยู่กับการเล่นเกมอย่างเมามัน

...ไฉนเล่า เรายังมั่วอยู่กับการฟังเพลงอย่างสนุกสนาน

...ไฉนเล่า เราไม่ลุกขึ้นมาเตาบัตในยามดึก แทนการลุกขึ้นมาดูฟุตบอล

...ไฉนเล่า เรายังไม่ลุกขึ้นมาสู้เพื่ออิสลาม

...ไฉนเล่า เรายังปล่อยปะละเลยในสิ่งต้องถูกสอบสวนในวันอาคีรัต...

แล้วอะไรเล้าที่เราไปตอบอัลลอฮฺในวันนั้น...

"จงทำงานเพื่ออาคีรัตเสมือนว่าท่านจะตายในวันพรุ่งนี้

และจงทำงานเพื่อดุนยาเสมือนว่าเราจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป"

"แท้จริงพวกเรา เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยังพระองค์" (2:156)

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2551

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “แฟน”

ด้วยพระนามของอัลลอฮผู้ทรงเมตตากรุณา ผู้ทรงปราณีเสมอ

ชื่อสามัญ : แฟน(Fan)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : คนรู้ใจ, คนพิเศษ, คนรัก

ลักษณะทั่วไป : เป็นบุคคลพิเศษที่มีความสำคัญ ต้องโทรหาทุกวัน คุยกันบ่อยๆ ชวนไปกินข้าว/ดูหนัง/ไปเที่ยวด้วย

กันการดูแลรักษา : ให้ความรัก ความห่วงใยอย่างสม่ำเสมอ ดูแลอย่างใกล้ชิด คิดถึงตลอดเวลา

จากการวิจัย : พบว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้กำลังเป็นที่นิยมทั่วทุกมุมโลก เป็นแฟชั่นที่กำลังมาแรงแซงทางโค้ง ซึ่งจากการวิจัยพบว่ามันกลายพันธุ์มาจากเพื่อนสนิทและมีแนวโน้มกลายพันธุ์เป็นกิ๊กต่อไป

ต่อไปคำเตือน : สังคมมุสลิมเป็นเขตปลอดสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ แต่กลับพบว่ายังมีหนุ่มสาวอีกหลายคน ที่แอบนำเข้ามาเลี้ยงอย่างเงียบๆไม่ให้ใครรู้ แต่เขาคงลืมไปแล้วว่าทุกความเคลื่อนไหวของเขา มีผู้ทรงรู้ ผู้ทรงเห็น..ทุกการกระทำและทุกความคิด เขาไม่เชื่อในผู้ทรงสร้างของเขาหรอกหรือว่า พระองค์ทรงเตรียม “คู่แท้” ที่เหมาะสมกับเขาไว้แล้ว เขาจึงได้ออกตามหา.. ซึ่งไม่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวนี้จะคุ้มค่าหรือขาดทุน? จงภูมิใจในความเป็นประชาชาติตัวอย่างที่ไม่เดินตามความเสื่อมทรามของสังคมเถอะ.. ทิ้งซะ!!…สิ่งมีชีวิตที่ไม่พึงประสงค์ เพราะหากเป็นพระประสงค์ของอัลลอฮแล้ว แค่ใบไม้ใบเดียว คุณก็อาจพบกับ“คู่แท้..” ที่จะกลายมาเป็นคู่ชีวิตของคุณ… ที่ผ่านมาให้แล้วกันไป เตาบัตซะ....หรือ ใครมีแล้วก็ไปขอแต่งงานซะทำอะไรจะได้สบายใจ

เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ของโลก

1) ทำไมแม่ชีคริสเตียนจึงแต่งกายปกปิดร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจนจรดปลายเท้า

-จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้อุทิศตนต่อพระเจ้า

-แต่เมื่อผู้หญิงมุสลิมแต่งกายตามแบบอิสลามบ้าง

-เธอกลับถูกเรียกว่าเป็นผู้ถูกกดขี่ ?

2) ทำไมชาวยิวจึงไว้หนวดไว้เครา

-และได้รับการถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามหลักศาสนา

-แต่เมื่อมุสลิมทำบ้าง

-กลับถูกหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรง ?

3) ทำไมเมื่อผู้หญิงตะวันตกอยู่บ้าน เพื่อดูแลบ้านและลูกๆ

-เธอคือผู้เสียสละและทำดีต่อต่อครอบครัว

-แต่เมื่อผู้หญิงมุสลิมอยู่บ้าน

-กลับมีคนพูดว่า เธอจะต้องได้รับการปลดปล่อย ?

4) ทำไมเมื่อเด็กคนหนึ่งคนใดสนใจในวิชาที่เรียน

-เด็กคนนั้นได้ชื่อว่าเป็นเด็กที่มีศักยภาพ

-แต่เมื่อเด็กมุสลิมอุทิศตนศึกษาอิสลาม

-เขากลับกลายเป็นเด็กที่สิ้นหวัง ?

5) ทำไมเมื่อชาวคริสเตียนฆ่าใครบางคน

-ไม่มีใครอ้างถึงศาสนา (เช่น กรณีของ ไอ.อาร์.เอ. หรือ ทิโมธี แมกเวย์)

-แต่เมื่อมุสลิม ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากร

-อิสลามกลับกลายเป็นผู้ต้องหาขึ้นมาทันที ?

6) ทำไมการทำชู้ โสเภณีและการรักร่วมเพศ

-ถูกถือว่าเป็นเพียงเสรีภาพทางเพศในตะวันตก

-แต่เมื่อมีการพูดว่าในอิสลาม ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งคน

-กลับมีคนถือว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ?

7) ถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมอิสลามจึงเป็นศาสนาที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ?

> -----------------------> > ^_^^_^^_^

เมื่ออิสลามอยู่ที่....

เมื่ออิสลามอยู่ที่ท่อนขา...เส้นทางไปมัสยิดจะเป็นที่ดึงดูดแก่เรามากกว่าเส้นทางไปร้านเกมส์

เมื่ออิสลามอยู่ที่อ้อมแขน...การแบ่งปันจะเป็นที่มุ่งหวังของเรามากกว่าการกอบโกย

เมื่ออิสลามอยู่ที่ปลายนิ้ว...การนับคำซิกรุลลอฮฺจะเป็นที่คุ้นเคยแก่เรามากกว่าการกดเบอร์

โทรศัพท์ของใครคนนั้น

เมื่ออิสลามอยู่ที่หน้าท้อง...อาหารของพี่น้องมุสลิมจะเป็นที่โอชารสแก่เรามากกว่าอาหารของ

ผู้ที่ฆ่าพี่น้องมุสลิม

เมื่ออิสลามอยู่ที่กระดูกสันหลัง...ที่อยู่อาศัยในโลกหน้าจะเป็นที่หวังพักพิงของเรามากกว่าที่อยู่

อาศัยในโลกนี้

เมื่ออิสลามอยู่ที่คอหอย...ความตายจะเป็นที่ระลึกถึงของเรามากกว่าการมีชีวิตอยู่.

เมื่ออิสลามอยู่ที่ริมฝีปาก...คำพูดอันอ่อนโยนจะเป็นที่คุ้นชืนแก่เรามากกว่าคำด่าทอ

เมื่ออิสลามอยู่ที่ฟันกราม...ความอดกลั้นต่ออุปสรรคที่มาประสบจะเป็นที่เพิ่มพูนแก่เรามากกว่า

ความท้อแท้

เมื่ออิสลามอยู่ที่ใบหู...เสียงกุรอานจะเป็นที่รื่นรมย์แก่เรามากกว่าเสียงดนตรี

เมื่ออิสลามอยู่ที่ใบหน้า...กิบลัตจะเป็นที่ผินหน้าของเรามากกว่าจอโทรทัศน์

เมื่ออิสลามอยู่ที่ศรีษะ...ความนอบน้อมจะเป็นสิ่งที่เราแสดงออกมากกว่าความโอหัง

เมื่ออิสลามอยู่ในดวงตา...ความตายของพี่น้องมุสลิมในดินแดนที่ถูกกดขี่จะเป็นที่หลั่งน้ำตาของเรา

มากกว่าความตายของตัวละครในภาพยนตร์

เมื่ออิสลามอยู่ในสำนึก...ปัญหาของประชาชาติอิสลามจะเป็นที่ขบคิดของเรามากกว่าปัญหาของตัวเอง

เมื่ออิสลามอยู่ในหัวใจ...ความรักที่มีต่ออัลลอฮฺจะเป็นที่อิ่มเอิบแก่เรามากกว่าความรักใดใด

เมื่ออิสลามอยู่ในชีวิต...การใช้ชีวิตเพื่ออิสลามจะเป็นที่พอเพียงแก่เรามากกว่าทุกสิ่งที่บรรจุอยู่

ในโลกดุนยา



By Qafilatul-Abrar