Oo~About us~oO

รูปภาพของฉัน
เราพร้อมที่จะทำงานเพื่อฟื้นฟูอิสลามภายใต้พันธกิจที่ว่า"จงมุ่งมั่นสู่การปฏิรูปตนเอง และเรียกร้องเชิญชวนผู้อื่นสู่การยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ"

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

นสพ.เดนมาร์กตีพิมพ์ซ้ำภาพการ์ตูนนบีมูฮัมหมัด [Nation]

وَالَّذِينَ يُؤْذُونَ رَسُولَ اللَّهِ لَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ

…และบรรดาผู้ที่ก่อความเดือดร้อนแก่ร่อซูลของอัลลอฮฺนั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด
(อัตเตาบะฮฺ : 61)

นสพ.เดนมาร์กตีพิมพ์ซ้ำภาพการ์ตูนนบีมูฮัมหมัด (ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)
หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่หลายฉบับในเดนมาร์ค จับมือกันตีพิมพ์ภาพการ์ตูนล้อศาสดามูฮัมหมัด ซึ่งสวมผ้าโพกศีรษะลักษณะคล้ายลูกระเบิดที่มีประกายไฟติดอยู่ ในบทบรรณาธิการฉบับเมื่อวานนี้ เพื่อแสดงจุดยืนเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หลังจากที่เมื่อวันอังคารตำรวจได้จับกุมชาย 3 คนในข้อหาวางแผนสังหารคนวาดการ์ตูนล้อภาพนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นชาวเดนมาร์คเชื้อสายโมร็อคโคและได้รับการปล่อยตัวไปแล้วเพราะไม่มีหลักฐานเอาผิดมากพอ ส่วนอีกสองคนเป็นชาวตูนีเซียจะถูกเนรเทศเร็วๆนี้ เนื่องจากเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
การ์ตูนล้อเลียนที่ว่านี้เป็น 1 ใน 12 ภาพที่เคยเป็นชนวนเหตุให้เกิดการชุนนุมประท้วงต่อต้านอย่างรุนแรงในโลกมุสลิม หลังจากที่หนังสือพิมพ์ จิลแลนส์-โพสเต็น ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2548 จากนั้นก็มีอีกหลายฉบับในหลายประเทศนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ ส่งผลให้สถานทูตเดนมาร์คทั่วโลกถูกโจมตี สินค้าเดนมาร์คถูกคว่ำบาตรในประเทศมุสลิมหลายชาติ และมีผู้เสียชีวิตจากเหตุจลาจลที่เกิดขึ้นอย่างน้อย 50 คน
ล่าสุด กระทรวงต่างประเทศของเดนมาร์คได้สั่งการไปยังหน่วยงานทางการทูตทั่วโลกให้จับตาดูความเคลื่อนไหวและสัญญาณความไม่พอใจจากการตีพิมพ์ซ้ำภาพการ์ตูนล้อเลียนนี้ อย่างใกล้ชิด ขณะที่ กลุ่มมุสลิมในเดนมาร์ควิจารณ์ความเคลื่อนไหวนี้โดยว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลาและจะยิ่งเพิ่มความแตกแยกในสังคม
…และบรรดาผู้ที่ก่อความเดือดร้อนแก่ร่อซูลของอัลลอฮฺนั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด (อัตเตาบะฮฺ : 61)
นสพ.เดนมาร์กตีพิมพ์ซ้ำภาพการ์ตูนนบีมูฮัมหมัด (ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)
หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่หลายฉบับในเดนมาร์ค จับมือกันตีพิมพ์ภาพการ์ตูนล้อศาสดามูฮัมหมัด ซึ่งสวมผ้าโพกศีรษะลักษณะคล้ายลูกระเบิดที่มีประกายไฟติดอยู่ ในบทบรรณาธิการฉบับเมื่อวานนี้ เพื่อแสดงจุดยืนเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หลังจากที่เมื่อวันอังคารตำรวจได้จับกุมชาย 3 คนในข้อหาวางแผนสังหารคนวาดการ์ตูนล้อภาพนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นชาวเดนมาร์คเชื้อสายโมร็อคโคและได้รับการปล่อยตัวไปแล้วเพราะไม่มีหลักฐานเอาผิดมากพอ ส่วนอีกสองคนเป็นชาวตูนีเซียจะถูกเนรเทศเร็วๆนี้ เนื่องจากเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
การ์ตูนล้อเลียนที่ว่านี้เป็น 1 ใน 12 ภาพที่เคยเป็นชนวนเหตุให้เกิดการชุนนุมประท้วงต่อต้านอย่างรุนแรงในโลกมุสลิม หลังจากที่หนังสือพิมพ์ จิลแลนส์-โพสเต็น ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2548 จากนั้นก็มีอีกหลายฉบับในหลายประเทศนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ ส่งผลให้สถานทูตเดนมาร์คทั่วโลกถูกโจมตี สินค้าเดนมาร์คถูกคว่ำบาตรในประเทศมุสลิมหลายชาติ และมีผู้เสียชีวิตจากเหตุจลาจลที่เกิดขึ้นอย่างน้อย 50 คน
ล่าสุด กระทรวงต่างประเทศของเดนมาร์คได้สั่งการไปยังหน่วยงานทางการทูตทั่วโลกให้จับตาดูความเคลื่อนไหวและสัญญาณความไม่พอใจจากการตีพิมพ์ซ้ำภาพการ์ตูนล้อเลียนนี้ อย่างใกล้ชิด ขณะที่ กลุ่มมุสลิมในเดนมาร์ควิจารณ์ความเคลื่อนไหวนี้โดยว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลาและจะยิ่งเพิ่มความแตกแยกในสังคม
นสพ.เดนมาร์กตีพิมพ์ซ้ำภาพการ์ตูนนบีมูฮัมหมัด [Nation]

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

จดหมายในลิ้นชัก

จดหมายในลิ้นชัก เพื่อนรัก เธอเป็นวัยรุ่นมากี่ปีแล้วหรือ
เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า ช่วงวัยนี้ให้อะไรกับชีวิตเราบ้าง
ความสนุก? ความสะใจ? มิตรภาพ? ความรัก?
หรือมีคุณค่าอะไรที่ลึกซึ้งกว่านี้?
********************************
อุซามะฮฺ บิน เซด เป็นแม่ทัพฝู้นำทัพแห่งกองทัพมุสลิมเมื่อ อายุ18 ปี
มูฮัมหมัด อัลฟาติฮฺ พิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลตอนอายุ 21 ปี
และท่านหญิงอาอีชะฮฺ ท่องจำ ฮะดิษเป็นพันขณะยังอายุ 20ปี
*********************************
แล้วตอนนี้?
เด็กไทยเฉลี่ยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกตอนอายุ 15ปี
เด็กสาวอายุ 17 จับลูกทิ้งชักโครก
เด็กม.ปลายขายบริการเป็นอาชีพเสริม
***********************************
เธอจะเป็นวันรุ่นแบบไหน
แบมือของเธอออก แล้วมองดูกระแสเลือดที่ไหลรินอยู่ใต้เนื้อหนังสี
มันเป็นสีเลือดของเรี่ยวแรงกำลังวังชา ซึ่งมีค่าเกินกว่าจะใช้คุยแค่เรื่องแฟชั่น
และ ดาราเลิกกัน
ถามตัวเองเถอะว่า เธอควรใช้ร่างแห่งพละกำลังนี้ไปในทางใด
เพราะคำตอบของเธอคือ อนาคตของประชาชาตินี้!

คัดลอกจาก มิร-อาท โดย อัน-นะซีฮฺะ
***********************

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

สื่อมวลชนเดนมาร์คตีพิมสื่อการ์ตูนล้อเลียนนบี

มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ
และขอคารวะสดุดีต่อท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเป็นผู้นำสัจธรรมมายังประชาคมโลกทั้งมวลสืบเนื่องจากเหตุการณ์ลบหลู่ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ครั้งที่ 2 ณ ประเทศเดนมาร์กเมื่อเร็วๆนี้ กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติขอประณามพฤติกรรมของสื่อมวลชนแห่งประเทศเดนมาร์กที่ได้รวมตัวกันแสดงออกเป็นเอกฉันท์ ตลอดจนจุดยืนของคณะรัฐมนตรีแห่งประเทศเดนมาร์กที่แสดงการปกป้องต่อการลบหลู่ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยอ้างว่าเป็นเอกสิทธิ์ของสื่อมวลชนตามสิทธิที่ประชาธิปไตยเอื้อให้แก่ประชาชน อนึ่งจุดยืนดังกล่าวของประเทศเดนมาร์กได้ปรากฏเป็นครั้งที่ 2 แล้ว จึงฟ้องถึงนโยบายที่ต่ำช้าของคณะรัฐมนตรีต่อประชากรมุสลิมนับพันล้าน ซึ่งไม่คำนึงถึงเกียรติยศของผู้นำศาสนาระดับ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และไม่เห็นใจต่อความรู้สึกของชาวมุสลิมที่เคารพนับถือ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นอย่างยิ่ง และดูเหมือนประสบการณ์ครั้งแรกที่ประชาชาติอิสลามได้ประณามการลบหลู่ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิได้เป็นบทเรียนให้แก่ผู้ใหญ่ในประเทศเดนมาร์กแต่อย่างใด
กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติขอแสดงความเสียใจด้วย ที่ประเทศเดนมาร์กตกต่ำถึงขั้นที่ไม่มีปัญญาชนสักกลุ่มหนึ่งออกมาคัดค้านหรือต่อต้านพฤติกรรมอันต่ำช้าของบางส่วนในประชาชนชาวเดนมาร์ก และกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสันติภาพโลกที่มีคนไร้ปัญญาไร้ความรับผิดชอบกำลังมุ่งทำลาย หากสังคมโลกไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และไม่เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน สันติภาพโลกย่อมเสียหายอย่างยิ่ง ทางกลุ่มฯ จึงเรียกร้องให้พี่น้องมุสลิมแสดงจุดยืนประณามพฤติกรรมดังกล่าว และเรียกร้องให้ผู้มีส่วนรับผิดชอบได้รีบแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
จึงขอให้พี่น้องมุสลิมในประเทศไทยได้รณรงค์บอยคอตผลิตภัณฑ์ของประเทศเดนมาร์ก เพื่อเป็นแนวร่วมกับพี่น้องมุสลิมทั่วโลกที่เริ่มต่อต้านประเทศเดนมาร์ก การบอยคอตโดยสันติวิธีย่อมเป็นการแสดงที่ถูกกฎหมายและมีประสิทธิผลในสมัยนี้ ซึ่งเป็นคำตอบให้แก่เสรีภาพป่าเถื่อนที่ปล่อยให้คนไร้ปัญญาออกมาทำลายศีลธรรมของประชาคมโลกทั้งปวง
ริฎอ อะหมัด สมะดี
ประธานกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ18 ก.พ 51
ดาว์นโหลดเอกสารที่นี่ครับ
http://www.islaminthailand.net/documents/denmark2.doc

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

สาเหตุที่ทำให้ประชาชาติที่เคยยิ่งใหญ่กลับต้องตกต่ำลง...


สาเหตุที่ทำให้ประชาชาติที่เคยยิ่งใหญ่กลับต้องตกต่ำลง
(สรุปมาจากสิ่งที่ต้องการปลดอดีต)
๑.พ่อแม่
ลักษณะอาการ
๑.โต้เถียงพ่อแม่
๒.ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ดื้อ เงียบ ไม่โต้เถียงแต่ไม่ปฏิบัติตาม
ผลกระทบ
ด้านศาสนา ขาดบารอกัต
ด้านสังคม การศึกษา นิสัยก้าวร้าว ประเทศล่มจม
ด้านครอบครัว แตกแยก ขาดความสุข
การแก้ไข
ด้านสังคม การศึกษาศีลธรรม
ด้านครอบครัว เปิดใจ เชื่อฟัง ทำตามคำสั่ง
ด้านตัวเรา สำนึกตัว มุ่งมั่นในการปรับปรุง

๒.อัลกุรอาน
ลักษณะอาการ
ไม่สนใจการศึกษา อ่านไม่เป็น ไม่รู้ความหมาย เป็นเหมือนนกแก้วนกขุนทอง (รู้แต่ไม่ปฏิบัติ) ใช้ในทางที่ผิด หารายได้ ทำอาซีมัต
ผลกระทบ
ไร้ทางนำ ไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ช่วยแก้ปัญหา ผู้นำขาดคุณธรรม ประชาชาติตกต่ำ
การป้องกันและแก้ไข
กระตุ้นให้เห็นความสำคัญของกุรอาน กล่าวตักเตือน มุ่งมั่นในการเชิญชวน ขอดุอาอฺให้ได้รับทางนำ
สร้างบรรยากาศ
เลิกทำมะเซียต อยู่กับคนมุมิน ทำฮาลากอฮ

๓.การเรียนการศึกษา
ลักษณะอาการ
ขี้เกียจ ทุจริตในการสอบ ไม่ฟังครูสอน คุยกันในห้อง ไม่ตั้งใจเรียน โดดเรียน
ผลกระทบที่เกิดขึ้น
เกรดไม่ดี ไม่มีความรู้ ปัญหาด้านการเรียน มีปัญหาทางบ้าน เรียนไม่จบ
การแก้ไข
ให้ความสำคัญในการเรียน กระตือรือร้น เปลี่ยนความคิด คบกับเพื่อนที่ดี และซอและห์

๔.เพื่อน
ลักษณะอาการ
ตามเพื่อน ไม่กล้าห้ามในสิ่งที่ผิด คบกับเพื่อนที่ไม่ดี เที่ยวตามเพื่อน ทำสิ่งไร้สาระ เสพย์ยาเสพย์ติด ติดผู้หญิง
ผลกระทบ
ทำให้มุสลิมตกต่ำ สังคมดูถูก มีอคติ เสียอนาคต อีหม่านลดลง ไม่เชื่อฟังพ่อแม่
การแก้ไข
เลือกคบเพื่อนที่ดี กล้าปฏิเสธสิ่งไม่ดี เอาอดีตมาเป็นบทเรียน ศึกษาอิสลามให้ลึกซึ้งและนำไปปฏิบัติ ฟังการบรรยาย ศึกษากุรอาน หะดีษ สร้างอุดมการณ์

๕.เพลง TV ละคร เรื่องไร้สาระ
ลักษณะอาการ
ติด TV ติดใจในเนื้อหา อยากเป็นศิลปินดารา อยากมีแฟน อารมณ์คล้อยตาม
ผลกระทบ
ทำให้เสียเวลา เสียการเรียน หงุดหงิดเมื่อไม่ได้ติดตาม ไม่รักษาอามานะห์จากพ่อแม่ ละเลยคำสั่งของศาสนา อีหม่านอ่อน ทำให้ห่างไกลจากอัลกุรอาน
การแก้ไขและป้องกัน
อย่าติดตาม เมื่อสำนึกแล้วให้เตาบัต ปิด TV ละหมาดสุนัต ขอคำปรึกษาจากผู้รู้
ผลกระทบ
ทำให้เสียเวลา เสียการเรียน หงุดหงิดเมื่อไม่ได้ติดตาม ไม่รักษาอามานะห์จากพ่อแม่ ละเลยคำสั่งของศาสนา อีหม่านอ่อน ทำให้ห่างไกลจากอัลกุรอาน

๖.การละหมาด
ลักษณะอาการ
ละหมาดสาย โกหกพ่อแม่วาละหมาดแล้ว ขี้เกียจละหมาด คิดถึงแฟน ไม่เข้าใจหลักการ ละหมาดท้ายเวลา ไม่รู้ความหมายอายัตอัลกุรอาน
ผลกระทบ
ทำให้เราห่างจากอัลลอฮ ทำให้อีหม่านต่ำลง ละหมาดจะไม่คูชุอฺ การละหมาดจะไม่สมบูรณ์ มะซียัตจะตามมา
การป้องกันและการแก้ไขปัญหา
ป้องกัน หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อที่มีสกรีนด้านหลัง ต้องรักษาเวลาละหมาด อย่าคิดมีแฟน ควบคุมจิตใจให้สงบ
การแก้ไข หมั่นทำความเข้าใจวิธีการละหมาดให้มากขึ้น และพร้อมปฏิบัติ ขอให้อดทนต่อการที่จะปฏิบัติการละหมาดให้สมบูรณ์



๗.ฟุตบอลและเกมส์
ลักษณะอาการ
๑.ด้านสุขภาพ พักผ่อนน้อย กินไม่เป็นเวลา
๒.ด้านศาสนา ละเลยการทำอิบาดะฮฺ
๓.ด้านความคิด หมกหมุ่นกับบอลและเกมส์
๔.ด้านพฤติกรรม การใช้เงินฟุ่มเฟือย ใช้เวลาฟุ่มเฟือย
๕.ด้านจิตใจ เฉื่อยชา ไร้จิตสำนึก
ผลกระทบ
๑.ด้านสุขภาพ ร่างกายอ่อนแอ เจริญอาหารช้า สมองทำงานหนัก ใจรุ่มเร้า
๒.ด้านสังคม มีปัญหาสังคม พัฒนาช้า
๓.ด้านศาสนา อีหม่านอ่อน ละเลยฟัรฎู
๔.ด้านบุคลิก ก้าวร้าว ใช้ความรุนแรง
๕.ด้านครอบครัว มีปัญหาการดำเนินชีวิตในครอบครัว
การแก้ไขและป้องกัน
๑.ด้านครอบครัว ต้องมีการตักเตือนทุกรูปแบบ
๒.ด้านสถานศึกษา ต้องช่วยกันดูแลเด็ก
๓.ด้านสังคม ปลีกตัวออกจากสังคมที่ถูกกลืนด้วยเกมส์และฟุตบอล
๔.ด้านศาสนา สร้างความตักวาให้เกิดขึ้นในจิตใจ

๘.ผู้หญิง
ลักษณะอาการ
- หงุดหงิดเมื่อไม่ได้เจอหน้าเธอ
- อยากจะอยู่ใกล้เธอตลอดเวลา
- เกิดอารมณ์ทางเพศเมื่ออยู่ใกล้เธอ
- รู้สึกใจหวั่นไหวเมื่อเวลาพบเธอ
- คิดถึงเธอตลอดเวลา
ผลกระทบ
- เสียเงิน
- เสียเวลา
- ทิ้งการประกอบศาสนกิจ
- ไกลจากเพื่อน
- เป็นการทำลายศักดิ์ศรี เกียรติยศของผู้หญิง
- มีโอกาสเกิดการซีนาได้

วิธีการแก้ไขและป้องกัน
- พยายามลดสายตาลงต่ำ
- ถือศีลอดเพื่อลดความต้องการลง
- พยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอกัน
- หักห้ามใจตนเองไม่ให้ติดต่อกับเธอ ไม่ว่าจะด้วยโทรศัพท์ การchat กันผ่านอินเตอร์เน็ต
- จดหมาย หรือบุคคลอื่นที่ศาสนาไม่อนุมัติ

คัดลอกมาจากกิจกรรมค่าย"เราคือเยาวชนแห่งสัจธรรม" รุ่นที่2

ฮิญาบคือ???



เรามักได้ยินใคร ๆ เรียกฮิญาบเป็นภาษาไทยง่าย ๆ ว่า ‘ผ้าคลุมหัว’ หรือ ‘ผ้าคลุมผม’ ซึ่งไม่อาจสื่อถึงความหมายทั้งหมดของคำว่าฮิญาบได้ มีผู้หญิงตั้งมากมายที่คลุมผ้าคลุมผม แต่ไม่ได้คลุมฮิญาบ เพราะผ้าของพวกเธอทำหน้าที่แค่ปิดคลุมเส้นผม (ซึ่งบ้างก็มิดชิด บ้างก็ไม่) ในขณะที่ฮิญาบเป็นมากกว่านั้น!
ฮิญาบ หมายถึง “การปกปิด” ซึ่งไม่ได้หมายถึงเครื่องแต่งกายที่ทำหน้าที่ปิดคลุมเฉพาะภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกริยามารยาท การวางตัว ความละอาย และการสำรวมจิตใจที่อยู่ภายในด้วย
ฮิญาบเป็นเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้มุสลิมะฮฺรำลึกถึงอัลลอฮฺในทุกการกระทำ เธอจะระมัดระวังและสำรวมปฏิบัติทุกสิ่งให้อยู่ในหลักการมากขึ้น เพราะความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ และด้วยตระหนักว่าเธอคือตัวแทนของอัลลอฮฺบนโลกนี้ ทุกภาพลักษณ์ที่สะท้อนพฤติกรรมของเธอคือภาพรวมของอิสลาม
ดังนั้น ผู้ที่คลุมฮิญาบจึงไม่ใช่แค่ยอมรับผ้าผืนหนึ่งมาคลุมเรือนร่าง หากแต่ยอมรับหลักการทั้งหมดที่มากับผ้าผืนนี้มาคลุมใจด้วย นั่นคือหลักการแห่งอิสลามซึ่งครอบคลุมทุกรายละเอียดของชีวิต

คำดำรัสของอัลลอฮฺในคัมภีร์อัลกุรอานที่ทรงบัญญัติเรื่องฮิญาบ มี 2 โองการ คือ บทอัลอะหฺซาบ โองการที่ 59 และบทอันนูร โองการที่ 31
“โอ้นบี (มุฮัมมัด) เอ๋ย! จงกล่าว แก่ภรรยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง(1) นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน(2) และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ”
[อัลกุรอาน บทที่ 33 (อัลอะหฺซาบ) โองการที่ 59]

“และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมินะฮฺ (ผู้ศรัทธาหญิง) ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ (3) และให้พวกเธอรักษาทวาร (อวัยวะเพศ) ของพวกเธอ (4) และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ (5) เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ (6) และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของพวกเธอลงมาจนถึงหน้าอกของเธอ (7) และอย่าให้พวกเธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ (8) เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ (9) หรือบิดาของพวกเธอ (10) หรือบิดาของสามีของพวกเธอ (11) หรือลูกชายของพวกเธอ (12) หรือลูกชายของสามีของพวกเธอ (13) หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ (14)หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอ (15) หรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ (16)หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ (17) หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) (18) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ (19) หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง (20) และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ (21) เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺเถิด โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ”
[อัลกุรอาน บทที่ 24 (อันนูร) โองการที่ 31]

สตรีผู้เลอค่า ในสายตาบุรษ...

อิสลาม หมายถึง ความสันติอันเกิดจากการนอบน้อมยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ (พระผู้เป็นเจ้า) โดยสิ้นเชิง ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม (มุสลิม) จึงหมายถึงผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและสิ่งที่พระองค์ทรงใช้ให้ศรัทธา พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งที่พระองค์ทรงใช้และหลีกห่างจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม

การปฏิบัติตนตามหลักการอิสลามของมุสลิมนั้น เริ่มต้นจากความศรัทธาซึ่งเป็นแก่นสำคัญภายในจิตใจ น้อมนำสู่การเชื่อฟังและปฏิบัติตาม มิใช่หลับหูหลับตาปฏิบัติอย่างงมงาย หากแต่เมื่อปฏิบัติแล้ว มุสลิมผู้นั้นสามารถสัมผัสได้ถึงความสงบสุขและความสมบูรณ์ของแนวทางที่เลือก เขาจึงยึดมั่นปฏิบัติต่อไป ขณะเดียวกัน มันก็เสริมให้ความศรัทธาของเขาเข้มแข็งและพร้อมที่จะดำเนินชีวิตตามระบอบอิสลามได้โดยง่าย

มุสลิมะฮฺ (สตรีผู้ศรัทธา) ก็เช่นกัน เมื่อเธอได้เลือกยึดอิสลามเป็นระบอบการดำเนินชีวิต ย่อมหมายความว่าเธอเลือกที่จะเดินอยู่ในแนวทางนี้ ซึ่งมีกรอบการปฏิบัติวางไว้อย่างจำกัด เธอมิได้มองว่าถูกลิดรอนสิทธิให้ต่ำต้อยกว่าเพศชาย หากแต่ยอมรับในความแตกต่างทางสรีระและอารมณ์ จึงเป็นการเหมาะสมแล้วที่อัลลอฮฺทรงกำหนดบทบาทและสิทธิให้ชายหญิงแตกต่างกัน

มุสลิมะฮฺรู้สึกยินดีอย่างยิ่งหากจะมีชายผู้ปกครองอยู่เคียงข้างเมื่อต้องเดินทาง เพื่อรักษาเกียรติ อำนวยความสะดวก และดูแลความปลอดภัยของเธอ เหล่าสตรีไม่ชอบหรือที่จะมีบอดี้การ์ดซึ่งเป็นคนรู้ใจอยู่คู่กาย? เหตุใดพวกเธอจึงชอบให้ชายแปลกหน้ามาอยู่เคียงเพื่อลดเกียรติและความบริสุทธิ์ที่พึงมี

มุสลิมะฮฺพร้อมที่จะปกปิดเรือนร่างด้วยหิญาบ เพราะเป็นสิ่งที่เธอน้อมรับและเห็นความสำคัญ ไม่ว่าจะสวมผ้าคลุมหน้า (นิกอบ) หรือไม่ ก็ย่อมปลอดภัยและมีเกียรติกว่าเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่บ่งชี้ปริมาณความละอาย (สมบัติล้ำค่าของเธอ) ที่เหลืออยู่น้อยนัก

ถึงแม้ว่ามุสลิมะฮฺจะไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้นำสังคมซึ่งประกอบด้วยบุรุษซึ่งมีความสามารถ ความเข้มแข็ง และการตัดสินใจที่เด็ดขาด แต่เธอได้รับอนุญาตเต็มที่ให้เป็นผู้นำกลุ่มมุสลิมะฮฺเพื่อทำงานสร้างสรรค์สังคม และเธอยังมีหน้าที่สำคัญกว่าในการสร้างครอบครัวที่มั่นคงอันเป็นรากฐานของสังคมและประเทศชาติที่เข้มแข็ง ตรงนี้เป็นหน้าที่หลักของเธอ หน้าที่ของความเป็น "แม่" ที่ผู้ชายหน้าไหนก็มาแย่งไปจากเธอไม่ได้ แต่ผู้หญิงจำนวนมากกลับเลือกที่จะผละจากหน้าที่นี้แล้วไปเรียกร้องสิทธิต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม ผลักหน้าที่นี้ให้กับพี่เลี้ยงหรือครู ซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะรักและให้กับลูกได้เหมือนอย่างหัวอกคนเป็นแม่หรือเปล่า

กรณีข่าวสตรีที่ถูกข่มขืนโดนลงโทษในประเทศซาอุดิอาระเบียนั้น ก่อนที่จะถูกข่มขืน สตรีผู้นั้นกำลังอยู่กับชายที่ไม่ใช่ผู้ปกครอง-มะหฺรอม (มะ-รอม) ของเธอ ดังนั้นจึงมีความผิด การที่สื่อนำเสนอข่าวแง่เดียวในเชิงว่า เธอถูกข่มขืนแล้วยังต้องถูกลงโทษอีกนั้นถูกต้องแล้วหรือ? สังคมต่างร่วมประณามและโจมตีการตัดสินลงโทษดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องเหลียวมองความผิดของเธอเลยหรือ ? แน่นอนว่าผู้ที่ข่มขืนย่อมมีความผิดและได้รับโทษ แต่แล้วเหตุใดสตรีผู้นั้นจึงได้รับการปกป้อง ทั้งที่เธอก็ทำความผิดด้วย

มุสลิมได้ปฏิบัติตามหลักการอิสลาม มองเห็นความสมบูรณ์และเหมาะสม จึงพร้อมและเต็มใจที่จะดำเนินชีวิตในแนวทางนี้ ไม่ว่าสังคมจะมองหลักการอิสลามอย่างไร ตราบใดที่มนุษย์ไม่ได้ลองนำอิสลามมาใช้ ก็ได้แค่อาศัยการวิเคราะห์จากสติปัญญาของตนซึ่งมีขอบเขตจำกัด เมื่อรวมกับอคติส่วนตัวแล้ว ก็ยิ่งบีบให้มุมมองที่มีอยู่แคบลงไปอีก เหตุใดมนุษย์จึงไม่ลองเปิดใจให้กว้าง มองอะไรอย่างเป็นธรรม เผื่อว่าบางที อัลลอฮฺจะทรงเปิดใจให้ได้รับทางนำที่แท้จริง!